10 ก.ค.2560
ภาพรวมตลาดบ้านสร้างเอง
สมาคมไทยรับสร้างบ้าน (Thai Home Builders Association: THBA) เปิดเผยว่า บ้านเดี่ยวสร้างเองทั่วประเทศในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา (เมย.-มิย. 60) พบว่าความต้องการของผู้บริโภคและประชาชนขยายตัวลดลง และส่งผลทำให้ปริมาณและมูลค่าตลาด “รับสร้างบ้าน” ในช่วง 6 เดือนแรกปี 2560 ชะลอตัวตาม (มค.-มิย. 60) เมื่อเปรียบเทียบกับครึ่งแรกปี 2559 จากมูลค่าตลาดรับสร้างบ้านทั่วประเทศประมาณ 1.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งประเมินว่าเกิดจาก 3 ปัจจัยหลักๆ คือ 1.ผู้บริโภคยังกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศ 2.การใช้จ่ายเรื่องบ้านหรือที่อย่อาศัยของผู้บริโภคปรับตัวลดลง และ 3.ช่วงเดือนเมย.-พค.เป็นช่วงโลว์ชีซั่นของธุรกิจรับสร้างบ้าน
ประการแรก ประเมินจากผู้บริโภคที่ติดต่อใช้บริการสร้างบ้านหลังใหม่ กับกลุ่มผู้ประกอบการรับสร้างบ้านทั้งนอกและในสมาคมฯ ส่วนใหญ่มีความลังเลและใช้ระยะเวลาตัดสินใจนานขึ้น (6 เดือนขึ้นไป) เหตุเพราะยังไม่มั่นใจต่อภาวะเศรษฐกิจในอนาคต ประการถัดมาพบว่า กลุ่มผู้บริโภคให้ความสนใจจะปลูกสร้างบ้านในปีนี้ กลุ่มใหญ่ที่สุดหรือร้อยละ 70 ตั้งงบประมาณค่าก่อสร้างบ้านไว้เฉลี่ยหน่วยละ 1.2 - 2 ล้านบาท ซึ่งมูลค่าต่อหน่วยลดลงจากปีที่แล้วที่เฉลี่ยต่อหน่วย 2 ล้านบาทขึ้นไป - 3 ล้านบาทเศษ สะท้อนให้เห็นว่าความสามารถของผู้บริโภค ในการใช้จ่ายเรื่องสร้างบ้านหรือที่อยู่อาศัยลดลง กอปรกับในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคมของทุกปี ถือเป็นช่วงที่ผู้บริโภคให้ความสนใจเรื่องสร้างบ้านน้อยกว่าช่วงเดือนอื่นๆ เหตุเพราะเป็นช่วงที่มีเทศกาลสำคัญและมีวันหยุดยาวต่อเนื่อง รวมถึงเป็นช่วงเปิดภาคเรียนใหม่ของบุตรหลาน ความสนใจและต้องการสร้างบ้านหลังใหม่จึงชะลอตัวในช่วงนี้
แนวโน้มไตรมาส 3
ไตรมาส 3 ปีนี้ สมาคมฯ ประเมินว่าความเชื่อมั่นและการกล้าใช้จ่าย เรื่องบ้านและที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค มีแนวโน้มปรับตัวเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยวิเคราะห์จากสถานการณ์ในช่วงท้ายไตรมาส 2 (เดือนมิย.) ที่ความสนใจและความต้องการสร้างบ้านใหม่ ของผู้บริโภคเริ่มปรับตัวดีขึ้นกว่าในช่วง 2 เดือนแรก (เมย.-พค.) และเชื่อว่าจะยังมีความต้องการต่อเนื่อง นอกจากนี้บรรดาผู้ประกอบการที่แข่งขันอยู่ในตลาดรับสร้างบ้าน คงมีการจัดกิจกรรมทางการตลาดกันคึกคัก เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อผู้บริโภคด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดี สถานการณ์ในปัจจุบันต้องยอมรับว่าผู้บริโภคมีอำนาจการต่อรองสูง ดังนั้นคาดว่าการแข่งราคาของกลุ่มผู้นำตลาดจะกลับรุนแรงอีกครั้ง ในช่วงการแข่งขันไตรมาส 3 นี้ โดยเฉพาะตลาดรับสร้างบ้านในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่มีผู้ประกอบการรับสร้างบ้านรายหลักๆ แข่งขันกันอยู่มากที่สุด
มองว่าการที่มีเสียงจากฟากผู้ประกอบการออกมาท้วงติงหรือไม่เห็นด้วยกับพระราชกำหนดฯ ดังกล่าว ส่วนหนึ่งอาจมีการกระทำที่ไม่ถูกต้องอยู่หรือเพียงแค่เกาะกระแสมากกว่า ไม่ใช่เหตุและปัจจัยที่เป็นผลกระทบหลัก สำหรับประเด็นที่อยากฝากถึงรัฐบาลคือ การอำนวยความสะดวกและลดค่าใช้จ่ายในเรื่องการขออนุญาตต่างๆ เพื่อผู้ประกอบการก่อสร้างและแรงงานต่างด้าวจะได้เต็มใจปฏิบัติตามกฏหมาย และทำอย่างไรให้เจ้าหน้าที่รัฐมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง สำหรับผู้ประกอบการเองก็ต้องปรับตัว หันมาใช้เทคโนโลยีก่อสร้าง เพื่อทดแทนแรงงานมากขึ้น ที่สำคัญต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม นายสิทธิพร กล่าวทิ้งท้าย
ที่มา : www.thba.or.th
(วันที่ 10 กรกฎาคม 60)