ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ
  • ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ
ข่าวอสังหาริมทรัพย์
Line
02 ก.พ.2561

“สมคิด”บี้ร.ฟ.ท.เร่งทางคู่ลุยพัฒนาเชิงพาณิชย์จ่อขึ้นค่ารถไฟ

Line

 

          "สมคิด"ไล่บี้งานร.ฟ.ท. จี้ติดการก่อสร้างรถไฟทางคู่ทั้ง 2 เฟส พร้อมให้เน้นพัฒนาเส้นทางเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวและเมืองรองให้มากขึ้น เดินหน้าแผนพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์และแผนฟื้นฟู จ่อเสนอปรับราคาค่าโดยสารเพิ่ม คาดจะสร้างรายได้เพิ่มอีกราว 30% มีลุ้นปี 63 EBITDA เป็นบวก

          2 มกราคม 2561-นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการมอบนโยบายการดำเนินงานให้กับการรถไฟแห่งประเทศไทย(ร.ฟ.ท.) ว่าคณะกรรมการร.ฟ.ท. และผู้บริหารในองค์กรทำให้ภาพรวมมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ 7 เส้นทางในเฟสแรกที่จะทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นมากยิ่งขึ้น โดยรัฐบาลจะให้ร.ฟ.ท. เป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสูงสุดในการพัฒนาประเทศ เนื่องจากรัฐบาลให้ความสำคัญในการพัฒนาการขนส่งด้วยระบบราง เน้นการเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน และส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศ แหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์



          “โดยพิจารณาให้เชื่อมโยงจังหวัด ที่มีแรงดึงดูดนักท่องเที่ยวไปยังแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ เน้นความเจริญเข้าไปสู่ชนบทและท้องถิ่น รวมถึงการพัฒนาสองข้างทางรถไฟให้สวยงาม โดยให้ประสานความร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และได้เสนอแนะให้เร่งผลักดันการบริหารพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ของร.ฟ.ท. ให้มีราคาเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน ซึ่งการบริหารทรัพย์สินสามารถเป็นตัวช่วยการสร้างรายได้ให้กับร.ฟ.ท.”

          นอกจากนั้นยังได้มอบนโยบายให้คณะกรรมการร.ฟ.ท. และผู้บริหารเร่งจัดการองค์กรให้พร้อมรองรับกับงาน และโครงการที่จะเกิดขึ้นใหม่ในอนาคต และให้เชิญผู้มีความรู้เฉพาะทางในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านการท่องเที่ยว ด้านวิศวกรรม มาร่วมเป็นคณะกรรมการซึ่งร.ฟ.ท.จะต้องรับภาระมากขึ้น จึงจำเป็นต้องมีความพร้อมด้านงบประมาณ และอัตรากำลังคน ที่มีความสำคัญในการพัฒนาองค์กร โดยต้องการกระตุ้นและปลูกฝังให้เยาวชนหันมารู้จักและรักรถไฟให้มาก เพื่อสร้างคนมารองรับการเติบโตขององค์กร ซึ่งร.ฟ.ท.จะต้องดำเนินการจัดทำแผนเสนอขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลที่พร้อมจะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่โดยเร็วต่อไป


เน้นร.ฟ.ท.เร่งเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยว

          นายสมคิด กล่าวอีกว่า ยังได้สั่งการให้เร่งรัดการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางระบบรางให้แล้วเสร็จตามแผนทุกโครงการ เพื่อเชื่อมโยงการคมนาคมให้ครอบคลุมถึงภาคการท่องเที่ยวและการลงทุนในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) / และรับทราบการดำเนินงานตามแผนฟื้นฟูกิจการร.ฟ.ท. ได้แก่ การบริหารทรัพย์สินต่างๆ โดยเฉพาะพัฒนาบุคลากร โดยได้มอบหมายให้กระทรวงคมนาคม หารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ให้ทำการยกเลิกมติเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2541 เพื่อปรับเพิ่มกรอบอัตรากำลังเป็น 22,068 อัตราจากปัจจุบันที่มีเพียง 14,175 อัตรา ซึ่งไม่เพียงพอต่อการพัฒนาศักยภาพระบบรถไฟทั้งในวันนี้และในอนาคต


          ด้านนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ปัจจุบัน ร.ฟ.ท.มีโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานระบบรางเชื่อมโยงจังหวัดอยู่ระหว่างดำเนินการรวม 16 เส้นทาง ระยะทางรวม 3,157 กิโลเมตรทั่วประเทศ วงเงินรวมกว่า 4.27 แสนล้านบาท ประกอบด้วยโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะที่ 1 จำนวน 7 เส้นทางระยะทาง 993 กิโลเมตร ก่อสร้างแล้วเสร็จภายในตุลาคม 2565 โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะที่ 2 จำนวน 9 เส้นทาง ระยะทาง 1,483 กิโลเมตร ดำเนินการแล้วเสร็จภายในกรกฎาคม 2566

          “ทั้งนี้ หากทุกโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จตามกำหนดในปี 2567 จะมีความจุเส้นทางเพิ่มขึ้น 4 เท่าของโครงข่ายรถไฟเดิม และในปี 2567 จะสามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึงเกือบ 80 ล้านคน และขนส่งสินค้าได้มากถึง 48 ล้านตันต่อปี ส่วนด้านการท่องเที่ยวก็จะสามารถเชื่อมโยงการท่องเที่ยวเมืองรอง 55 จังหวัด”


เล็งขึ้นค่าโดยสารหลังปรับปรุงบริการ

          นายอาคมกล่าวอีกว่า สำหรับแผนฟื้นฟูกิจการร.ฟ.ท.นั้น นอกจากการเสนอ ครม. ปรับเพิ่มอัตรากำลังแล้วยังมีแผนการปรับโครงสร้างอัตราค่าโดยสารแรกเข้าเป็น 10 บาทจากเกณฑ์เดิมที่คิดค่าแรกเข้าเพียง 2 บาท และค่าโดยสารตามระยะทางจะเพิ่มขึ้นอีก 50% เช่น โครงสร้างค่าโดยสารใหม่ชั้น 3 ระยะทาง 0 -100 กิโลเมตรจะอยู่ที่ 0.323 บาทต่อกิโลเมตร จากเดิมอยู่ที่ 0.215 บาทต่อกิโลเมตร


          “แผนดังกล่าวเชื่อว่าจะทำให้รายได้ของการร.ฟ.ท.เพิ่มขึ้นอีก 30% และคาดว่าจะเริ่มในช่วงปี 2563 ที่EBITDA จะเริ่มเป็นบวกหลังจากเริ่มจัดซื้อรถไฟขบวนใหม่แล้วเสร็จ ขณะที่ปริมาณผู้โดยสารตามการคาดการณ์ของร.ฟ.ท. พบว่าผู้โดยสารจะเพิ่มขึ้นจาก 32.8 ล้านคนในปี 2560 เป็น 79.9 ล้านคนในปี 2570 และปริมาณการขนส่งสินค้าจะเพิ่มขึ้นจาก 12.17 ล้านตันในปี 2560 เป็น 48.46 ล้านตันในปี 2570”

 
ที่มา : http://www.thansettakij.com
(วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2561)