ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ
  • ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ
ข่าวอสังหาริมทรัพย์
Line
31 ก.ค.2561

“พีดีเฮ้าส์” อ้าแขนรับระบบ “รูเนะสุ” หลัง “ชินวะ” ญี่ปุ่นมีแผนรุกตลาดรับสร้างบ้าน

Line
          “พีดี เฮ้าส์” พร้อมอ้าแขนรับระบบก่อสร้างชิ้นส่วนสำเร็จรูป “รูเนะสุ” พร้อมเจรจาหาก “ชินวะ” ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างจากญี่ปุ่น สนใจขยายตลาดสู่ตลาดรับสร้างบ้าน มั่นใจเทคโนโลยี-นวัตกรรมก่อสร้าง เชื่อช่วยยกระดับคุณภาพ และมาตรฐานก่อสร้างไทย ระบุจะช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงในวงการและตลาดรับสร้างบ้าน โดยเฉพาะตลาดต่างจังหวัดที่ผู้บริโภคนิยมสร้างบ้านบนที่ดินตัวเอง 

          นายสิทธิพร สุวรรณสุต ประธานบริหาร บริษัท พีดี เฮ้าส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เจ้าของและผู้บริหารสิทธิ์แฟรนไชส์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ และเอคิวโฮม เปิดเผยถึงความเคลื่อนไหวของบริษัท ชินวะ เรียลเอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด เตรียมแผนขยายตลาดระบบก่อสร้างชิ้นส่วนสำเร็จรูป “รูเนะสุ” โดยมุ่งเป้าเจาะตลาดโครงการบ้านจัดสรร ทั้งบ้านเดี่ยว และทาวน์โฮม รวมถึงตลาดรับสร้างบ้าน ว่าเป็นมิติใหม่และทิศทางที่ดีสำหรับธุรกิจก่อสร้างในประเทศไทย ทั้งนี้ จะช่วยยกระดับมาตรฐานด้านคุณภาพการก่อสร้างให้แก่วงการก่อสร้าง และธุรกิจรับสร้างบ้าน เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นเป็นเจ้าแห่งการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งมีการควบคุมคุณภาพมาตรฐานเป็นที่ยอมรับระดับสากล การก้าวเข้าสู่ธุรกิจก่อสร้างของชินวะฯ คาดจะทำให้เกิดการตื่นตัว และพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานของระบบชิ้นส่วนก่อสร้างสำเร็จรูปในตลาดรวมของไทย ให้มีคุณภาพและมาตรฐานที่สูงขึ้น

          โดยในช่วงที่ผ่านมา การเข้ามาของผู้ประกอบการจากญี่ปุ่นในรูปแบบการเข้ามาร่วมทุนพัฒนาโครงการ และได้นำจุดแข็งในเรื่องการดีไซน์ ฟังก์ชันการใช้สอยพื้นที่หรือเพิ่มพื้นที่ใช้สอยในห้องชุด ทำให้ตลาดคอนโดมิเนียมเกิดการแข่งขัน และการปรับตัวของผู้ประกอบการอย่างมาก ดังนั้น การเข้าสูงตลาดแนวราบ และรับสร้างบ้านของชินวะฯ จึงเชื่อว่าจะเป็นเรื่องที่ดี จะทำให้เกิดการแข่งขันและพัฒนาธุรกิจรับสร้างบ้านในอนาคต 

          “ต้องยอมรับว่า โปรดักต์ของญี่ปุ่น นอกจากคุณภาพและมาตรฐานที่สูงแล้ว ยังเก่งเรื่องของการออกแบบและการฟังก์ชันในการใช้สอยพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด มีการคิดรายละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบ และเมื่อเทียบกับโปรดักต์ของผู้ผลิตในไทยแล้ว สามารถช่วยเพิ่มพื้นที่ใช้สอยได้มากกว่า 30-40% เมื่อเทียบขนาดพื้นที่เท่าๆ กัน”

          นายสิทธิพร กล่าวต่อประเด็นว่า หากจะมีความร่วมมือเกิดขึ้นนั้นว่าก็ถือเป็นโอกาสที่ดี เนื่องจากพีดี เฮ้าส์ฯ เป็นระบบแฟรนไชส์ที่มีคอนเซ็ปต์การบริหารงานแบบไม่ผู้ขาดการดำเนินธุรกิจ ไม่ต้องการแย่งงาน หรือเป็นผู้ผลิตเองทั้งหมด แต่เน้นการสร้างความร่วมมือ และกระจายงานให้กับผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้าน เพื่อให้งานออกมามีคุณภาพ และเกิดประโยชน์แก่ลูกค้ามากที่สุด 

          สำหรับระบบก่อสร้างสำเร็จรูปนั้น ผลดีในระยะยาว คือ การขยายงานสามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว เพราะเป็นระบบสำเร็จรูปที่ลดระยะเวลาการก่อสร้าง แต่ข้อเสีย คือ ในช่วงที่เกิดการชะลอตัวของตลาดอาจจะมีความเสี่ยงทางด้านต้นทุน เนื่องจากปริมาณ (วอร์รูม) การสั่งซื้อลดลง อาจมีผลต่อราคา และมีผลต่อรายได้และกำไร

          “แม้ว่าระบบก่อสร้างสำเร็จรูปจากญี่ปุ่น จะเข้ามายกระดับมาตรฐานและคุณภาพในวงการก่อสร้างได้ แต่ต้องใช้เวลา เพราะระบบดังกล่าวยังไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม ยังไม่มีกฎหมาย หรือหน่วยงานรัฐเข้ามารับผิดชอบดูแล หรือมีการรับรองมาตรฐานอย่างจริงจังด้วย ดังนั้น ในเรื่องการยอมรับจากผู้บริโภคจึงต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร”

          อย่างไรก็ตาม หากชินวะฯ เข้าสู่ตลาดรับสร้างบ้านจริง จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตลาดอย่างมาก โดยเฉพาะตลาดในต่างจังหวัด จะทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากกว่าต้องพึ่งพากลุ่มผู้รับเหมา เนื่องจากผู้บริโภคกลุ่มนี้ จะนิยมบ้านสร้างเองบนที่ดินของเองตนเอง

          นายสิทธิพร กล่าวถึงภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านในไตรมาส 3 ปีนี้ว่ามีความคึกคัก คาดว่าตลาดจะเติบโตได้ 7-10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีที่แล้ว ทั้งนี้ ตลาดใหม่ที่เริ่มเห็นในปีนี้ คือ กลุ่มที่สร้างบ้านเป็นหลังที่ 2 ซึ่งไม่เห็นมาแล้วหลายปี โดยส่วนใหญ่เป็นข้าราชการระดับบริหาร หรือทำงานในบริษัทเอกชนขนาดใหญ่มีผลประกอบการที่ดี ราคาบ้านที่ต้องการคือที่ 3-5 ล้านบาท จะสร้างไว้สำหรับพักผ่อนหรือสร้างในบ้านเกิดในต่างจังหวัด กลุ่มนี้จะมีบ้านในกรุงเทพฯ แล้ว 

          นอกจากนี้ ความต้องการสร้างบ้านระดับกลางไม่เกิน 5 ล้านบาท จะเริ่มเห็นสัญญาณการหันมาใช้บริษัทขนาดใหญ่แทนผู้ประกอบการรายเล็ก เพราะผู้บริโภคต้องการคุณภาพบ้านทั้งฝีมือ และวัสดุมากกว่าขนาดพื้นที่ที่ได้

 
ที่มา : mgronline.com
(วันที่ 31 กรกฎาคม 2561)