ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ
  • ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ
ข่าวอสังหาริมทรัพย์
Line
07 เม.ย.2557

เอสซีจีทุ่ม2.6พันล้านขยายไลน์ผนังสำเร็จรูป บิ๊กแบรนด์แห่จองตรึม

Line

เอสซีจีทุ่ม2.6พันล้านขยายไลน์ผนังสำเร็จรูป บิ๊กแบรนด์แห่จองตรึม

"เอส ซีจี" กินรวบตลาดวัสดุ เท 2,600 ล้านผุดโรงงานพรีคาสต์ 2 แห่ง กำลังการผลิตรวมกว่า 2.4 ล้านตารางเมตร เดินเครื่องผลิตออกจำหน่ายไตรมาส 2 ปี"58 ชี้แนวโน้มตลาดสดใส ดีเวลอปเปอร์รายใหญ่แห่จองเกลี้ยง ยันไม่แย่งลูกค้าบ้านต้านแผ่นดินไหวระดับไฮเอนด์ "เอสซีจี ไฮม์" ที่ยังขาดทุนต่อเนื่อง 200 ล้านบาทในปี"56

นาย พิชิต ไม้พุ่ม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด ในเครือ บมจ.ซิเมนต์ไทย หรือ "เอสซีจี" เปิดเผยว่า บริษัทได้ตัดสินใจขยายไลน์ธุรกิจใหม่ คือโรงงานผลิตผนังสำเร็จรูป (พรีคาสต์) เจาะกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ใช้งบฯลงทุนกว่า 2,600 ล้านบาท ก่อสร้างโรงงานผลิตผนังสำเร็จรูประบบพรีคาสต์ 2 แห่ง ที่จังหวัดชลบุรี และนิคมอุตสาหกรรมเหมราช อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี มีกำลังการผลิตรวม 2 โรงงาน ปีละ 2.4 ล้านตารางเมตร

ค่ายจัดสรรแห่จอง

สำหรับ ความคืบหน้าการลงทุน ขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้างโรงงาน คาดว่าจะเริ่มเดินกำลังผลิตได้ประมาณไตรมาส 2 ปี 2558 เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายดีเวลอปเปอร์รายใหญ่เป็นหลัก เนื่องจากในกระบวนการผลิตต้องมีต้นทุนทำแม่แบบหล่อชิ้นส่วนผนังสำเร็จรูป จึงต้องมีปริมาณสั่งผลิตขั้นต่ำจำนวนมาก และไม่ได้มีจำนวนแบบบ้านหลากหลายมากนัก

"เราเน้นขายดีเวลอปเปอร์ราย ใหญ่เป็นหลัก ตอนนี้มียอดจองล่วงหน้าหลายราย เรื่องตลาดเราแทบไม่ห่วงเพราะเทรนด์งานก่อสร้างบ้านในโครงการจัดสรร ต่อไปคงต้องเปลี่ยนมาใช้ระบบผนังสำเร็จรูป เพราะช่างก่ออิฐฉาบปูนฝีมือดีค่อนข้างหายากและค่าจ้างแพงขึ้น ส่วนลูกค้าที่เป็นดีเวลอปเปอร์รายกลาง-เล็ก หรือบริษัทรับสร้างบ้านคงรับงานบ้างโดยใช้โรงงานที่จังหวัดชลบุรีเป็นฐานการ ผลิต เพราะมีข้อจำกัดเรื่องการทำแม่แบบ ต้องมีออร์เดอร์สั่งผลิตขั้นต่ำ 400 หลังจึงจะรับงาน"

ชูแบรนด์ "ตราช้าง" รุกตลาด

ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจัยที่เอสซีจีเข้ามารุกตลาดผนังสำเร็จรูป เพราะผู้ประกอบการอสังหาฯประสบปัญหาแรงงานก่อสร้าง จึงทยอยเปลี่ยนระบบก่อสร้างจากผนังก่ออิฐฉาบปูนเป็นผนังคอนกรีตสำเร็จรูป โดยเอสซีจีจะใช้แบรนด์ "ตราช้าง" รุกตลาด เนื่องจากเป็นแบรนด์ที่ติดตลาด โดยปีที่ผ่านมาเอสซีจีได้วิจัยและพัฒนานวัตกรรมการสร้างผนังรูปแบบใหม่ โดยใช้ปูนซีเมนต์สำเร็จรูปชนิดพิเศษเป็นวัตถุดิบหลัก ขณะเดียวกันก็พัฒนานวัตกรรมระบบผนังแบบแห้ง ใช้วิธีผลิตชิ้นส่วนผนังจากโรงงานไปประกอบเป็นบ้านที่ไซต์ก่อสร้าง เพื่อใช้ทดแทนผนังก่ออิฐฉาบปูนแบบเดิม

ทั้งนี้ นอกจากผนังสำเร็จรูป ทางเอสซีจีมีธุรกิจ "รับสร้างบ้าน" ระบบโมดูลาร์แบบกึ่งสำเร็จรูปภายใต้ชื่อ "เอสซีจี ไฮม์" ซึ่งเอสซีจีร่วมมือกับพันธมิตรจากประเทศญี่ปุ่นคือบริษัท เซกิซุย เคมิคอล จำกัด ตั้งโรงงานผลิตบนพื้นที่กว่า 100 ไร่ ในจังหวัดสระบุรี เจาะกลุ่มลูกค้าระดับไฮเอนด์ราคาเริ่มต้นตารางเมตรละกว่า 3-4 หมื่นบาท จุดขายคือเป็นบ้านประหยัดพลังงาน และทนแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวได้ถึงระดับ 7 ริกเตอร์ โดยปีนี้ตั้งเป้ายอดขาย 1,200 ล้านบาท แต่ที่ผ่านมายังมีข้อจำกัดเรื่องราคาค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับบ้านสร้างด้วยระบบก่ออิฐฉาบปูน

"เอสซีจี ไฮม์" ขาดทุน 200 ลบ.

นาย กานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บ้านระบบโมดูลาร์ "เอสซีจี ไฮม์" ที่ร่วมทุนกับญี่ปุ่นตั้งโรงงานเมื่อปี 2552 ใช้งบฯกว่า 2,000 ล้านบาท ที่ผ่านมายังประสบภาวะขาดทุนต่อเนื่อง โดยปีที่ผ่านมามีผลขาดทุน 200 ล้านบาท

ทั้งนี้ สาเหตุการขาดทุนมาจาก 2 ส่วน คือ 1) มีต้นทุนเพิ่มขึ้นจากการปรับเปลี่ยนแบบของลูกค้า หลังลูกค้าเซ็นสัญญาก่อสร้างบ้านแล้ว เฉลี่ยมีการแก้ไขแบบถึง 17 ครั้ง บางกรณีเป็นการแก้ไขที่หน้างาน ซึ่งบริษัทแก้ไขปัญหาโดยแจ้งให้ลูกค้าทราบว่าจะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม กรณีที่ต้องการเปลี่ยนแปลงแบบบ้าน และ

2) ปัญหาอุทกภัยเมื่อปี 2554 ซึ่งเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่โรงงานเริ่มเดินกำลังการผลิต ทำให้ตลาดชะลอตัวจากเดิมบริษัทตั้งเป้าเริ่มมีกำไรหลังจากปีที่ 3-4 แต่ด้วยเหตุผลข้างต้นจึงยังประสบปัญหาขาดทุนในปีที่ผ่านมา

โอกาสยังมีเล็งขยายฐานส่งออก

อย่าง ไรก็ตาม ธุรกิจบ้านระบบโมดูลาร์กำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เนื่องจากมีฐานลูกค้าส่วนใหญ่เป็นลูกค้าระดับไฮเอนด์ และเริ่มรับรู้ถึงข้อดีของบ้านเอสซีจีไฮม์ ขณะเดียวกันบริษัทมองถึงโอกาสรุกตลาดส่งออก โดยโรงงานเอสซีจี ไฮม์ ที่นิคมเหมราช จังหวัดสระบุรี ใช้ระบบการผลิตแบบออโตเมชั่น มีกำลังการผลิตมากปีละ 1,000 ยูนิต ถือเป็นโรงงานใหญ่ที่สุดในเอเชีย-แปซิฟิก

"ปัจจุบันนวัตกรรมบ้านเอส ซีจี ไฮม์ เป็นที่ยอมรับในกลุ่มผู้บริโภคมากขึ้น แม้ลูกค้าที่เข้าไปอยู่ช่วงแรก ๆ อาจจะมีปัญหา แต่เราแก้ไขให้ทั้งหมด ตอนนี้ลูกค้าทุกรายพอใจและมียอดขายจากการบอกต่อเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ" นายกานต์กล่าวและว่า ธุรกิจโรงงานผลิตพรีคาสต์และบ้านเอสซีจี ไฮม์ ถึงแม้เป็นนวัตกรรมก่อสร้างกึ่งสำเร็จรูปเหมือนกัน แต่จับลูกค้าคนละกลุ่มเพราะโรงงานพรีคาสต์จะผลิตเฉพาะชิ้นส่วนผนัง แต่เอสซีจี ไฮม์เป็นธุรกิจรับสร้างบ้านด้วยระบบโมดูลาร์ โดยผลิตชิ้นส่วนที่โรงงานและนำไปประกอบเป็นบ้านที่หน้างาน เจาะลูกค้าระดับไฮเอนด์

 
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ 07 เมษายน 2557
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1396623892