ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ
  • ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ
ข่าวอสังหาริมทรัพย์
Line
16 ก.ค.2557

พีดีเฮ้าส์ฯ สนเข้าตลาดหุ้น

Line

โชว์โรดแม็พว่าที่มหาชนรับสร้างบ้าน

พีดีเฮ้าส์โชว์ยอดขายรวม 3 ธุรกิจหลักทะลัก 1.5 พันล้านบาท ยอมรับสภาพผ่านครึ่งปีแรกหลุดเป้า เชื่อการเมืองสงบกำลังซื้อครึ่งปีหลังฟื้นคืนชีพ “สิทธิพร สุวรรณสุต” กางแผนงานอนาคตเก็บกวาดบ้าน สนเข้าตลาดหุ้น ระบุหากเข้าได้ถือเป็นเจ้าแรกธุรกิจรับสร้างบ้าน

 

นายสิทธิพร สุวรรณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีดี เฮ้าส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์และเอคิวโฮม เปิดเผยว่า จากผลประกอบการของกลุ่มธุรกิจพีดีเฮ้าส์ในปี 2556 ที่ผ่านมา มียอดขายและรายได้รวม 1,508 ล้านบาท จากทั้ง 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.ยอดขายบ้าน 1,200 ล้านบาท 2.รายได้จากแฟรนไชส์รับสร้างบ้าน 98 ล้านบาท และ 3.จำหน่ายวัสดุก่อสร้าง 210 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 1,900 ล้านบาทเศษ หรือร้อยละ 17 สาเหตุหลักๆ เป็นเพราะปัจจัยลบที่รุมเร้าตลอดทั้งปี ทั้งปัญหาแรงงานขาดแคลน ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศที่ชะลอตัว กอปรกับปีที่แล้วบริษัทฯ ขยายสาขาใหม่แค่ 3 สาขาเท่านั้น อย่างไรก็ดี ตัวเลขยอดขายรวมดังกล่าวถือว่ายังมีอัตราการเติบโตที่ดี เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้านี้

สำหรับปี 2557 นี้บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้และยอดขายรวมไว้ 2,450 ล้านบาท แบ่งเป็น 1.ยอดขายบ้าน 2,000 ล้านบาท 2.รายได้จากแฟรนไชส์รับสร้างบ้าน 180 ล้านบาท และ 3.ยอดขายวัสดุก่อสร้าง 270 ล้านบาท ซึ่งในช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมา สามารถทำยอดขายบ้านได้แล้วจำนวน 700 ล้านบาทเศษ และมีรายได้จากแฟรนไชส์รับสร้างบ้านจำนวน 87 ล้านบาท ในส่วนของยอดจำหน่ายวัสดุก่อสร้างทำได้ 138 ล้านบาท คิดเป็นยอดขายรวมทั้งสิ้น 925 ล้านบาท ทั้งนี้หากพิจารณาจากตัวเลขตามเป้าที่ตั้งไว้ตลอดปี กับยอดขายที่ทำได้แล้วในช่วง 6 เดือนแรกถือว่าต่ำกว่าเป้าพอสมควร โดยปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อยอดขายยังคงเป็นเรื่องปัญหาขาดแคลนแรงงานและความขัดแย้งทางการเมือง

“ตัวเลขยอดขายรวมที่ทำได้ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาไม่ได้เลวร้ายแต่อย่างใด เพราะปี 57 นี้บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายไว้สูงกว่าปีที่แล้วถึงร้อยละ 40 ในขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองก็เกิดความวุ่นวาย และเศรษฐกิจก็อยู่ในภาวะชะลอตัวในช่วงครึ่งปีแรก แต่ทั้งนี้ยอดขายรวมของบริษัทฯ ก็ยังสามารถเติบโตได้ ซึ่งในช่วง 4 เดือนแรกปีนี้ บริษัทฯ เองก็เคยพิจารณาว่าจะปรับลดเป้ายอดขายลง ด้วยเพราะยอดขายบ้านไม่เป็นไปตามแผนการตลาดที่วางไว้ แต่เมื่อความขัดแย้งทางการเมืองสงบลงและเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น ภายหลังจากที่มีการรัฐประหารเกิดขึ้น โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งปรากฏว่าความมั่นใจและกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ต้องการสร้างบ้านก็ฟื้นคืนกลับมาอย่างรวดเร็ว ดังนั้น บริษัทฯ จึงคงยืนเป้ายอดขายและรายได้ไว้ที่ 2,450 ล้านบาทตามเดิม เพราะเชื่อว่ามีกำลังซื้อมากพอ”


นายสิทธิพร กล่าวต่อว่า สำหรับแผนงานในการเปิดแฟรนไชส์ของบริษัทฯ นั้น เดิมตั้งเป้า 5 ปี ที่จะเปิดแฟรนไชส์ครบ 50 แห่งทั่วประเทศ แต่ต้องเลื่อนแผนออกไป 1 ปี เนื่องจากปัจจัยภายในประเทศ ส่วนที่ยังไม่สามารถเข้าไปเปิดสาขาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เนื่องจากยังมีเหตุความไม่สงบ แต่คาดว่าปีหน้าจะสามารถเปิดสาขาดังกล่าวได้ โดยได้โฟกัสไปจังหวัดนราธิวาส

สำหรับแผนงานในอนาคตนั้น บริษัทฯ มีความสนใจที่จะเข้าไปในตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากบริษัทฯ มีความพร้อมในเรื่องของระบบบัญชี และที่สำคัญเรามีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศ ทำให้ปัจจัยต่างๆ สามารถเอื้อต่อบริษัทที่จะเข้าไปในตาลดหุ้น

“ต้องยอมรับว่า ยังติดปัญหาเรื่องของการควบรวมระหว่างบริษัทแม่กับบริษัทลูก เพราะว่า ตอนเปิดแฟรนไชส์ได้จัดตั้งเป็นนิติบุคคล ตรงจุดนี้เราจะต้องทำให้เป็นบริษัทเดียวกันและเป็นบัญชีเดียวกันทั้งหมด คือ แฟรนไชส์ที่เราถือหุ้น 100% ส่วนที่เป็นแฟรนไชส์เขาซื้อสิทธิ์ ก็คงดำเนินธุรกิจของเขาไปไม่ได้เอามาควบรวม” นายพิศาล กล่าว

นายสิทธิพร กล่าวว่า ขณะนี้ได้มีการประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ โดยเฉพาะรายละเอียดของวัตถุประสงค์ที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าจะเข้าไปเพื่ออะไร ประโยชน์อะไร โดยที่ประชุมมีการสรุปออกมาเป็นประเด็นต่างๆ ต่อไปนี้ คือ เข้าไปเพื่อเป็นบริษัทรับสร้างบ้านที่มีความน่าเชื่อถือ ด้วยเหตุผลกรณีที่เราจะขยายไปตลาดต่างประเทศ เพราะการเข้าไปในตลาดหุ้นนั้นจะเกิดความน่าเชื่อถือ โปร่งใส

ประการที่สอง หากเข้าไปเพื่อระดมทุน ตรงนี้จะต้องมีการแตกไลน์ในธุรกิจเพื่อที่จะเอื้อในการสร้างโรงงานผลิตบ้านสำเร็จรูปเพื่อซัพพอร์ตในธุรกิจของบริษัทฯ และประการสุดท้าย หากมีการระดมทุน จะต้องมีการขยายไลน์ดีเวลลอปเปอร์ ซึ่งอาจไม่ได้รับสร้างบ้านอย่างเดียว แต่อาจจะพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรด้วย

“ในการที่จะขยายไลน์ธุรกิจไปสู่การเป็นดีเวลลอปเปอร์นั้น ปัจจุบันมีลูกค้ารู้จักเราทั่วประเทศ พันธมิตรทางการค้า แรงงานท้องถิ่น ทุกอย่าง เราเก็บกวาดบ้านของเรา ถ้ามีจังหวะช่วงเวลาอันเหมาะสมในการเข้าตลาดหุ้นฯ บริษัทฯ พร้อมเต็มร้อย แต่ตอนนี้เราคงไม่โฟกัสจะเข้าตลาดหุ้นเมื่อไหร่ เราไม่อยากผูกมัดตัวเองจนมากเกินไป และที่สำคัญเรามีทุนจดทะเบียนบริษัทแม่กับบริษัทลูกรวมกันแล้วประมาณ 80 ล้านบาท เราพร้อมที่จะเข้าไปสู่ตลาด MAI ในอนาคตอันใกล้นี้ หากเข้าไปได้ตามแผน ถือว่าเป็นบริษัทรับสร้างบ้านรายแรกที่เข้าตลาดหุ้น” นายสิทธิพร กล่าวทิ้งท้าย

ที่มา : หนังสือพิมพ์บ้านเมือง