ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ
  • ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ
ข่าวอสังหาริมทรัพย์
Line
11 ก.ค.2559

พีดีเฮ้าส์ ปรับแผนรับมือ ศก.ซบ รีโลเกชั่นสาขาเก่า-ลดราคาบ้าน 3-5%

Line

        พีดีเฮ้าส์ ชี้ครึ่งปีแรก 59 ตลาดรับสร้างบ้านแข่งขันราคาเดือด เหตุกำลังซื้อยังไม่ฟื้นตัวชัดเจน เชื่อกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับใหม่ส่งผลด้านบวกมากว่า เผยปี 59 บริษัทฯ ปรับตัวอย่างมากทั้ง รีแบรนด์ รีโปรดักต์ รีไพรซ์ และครึ่งปีหลังเตรียมรีโลเกชั่น สาขาเก่า หลังพบบางพื้นที่ตลาดอิ่มตัว เผยยอดขายครึ่งปีแรกต่ำกว่าเป้าร้อยละ 10 แต่เชื่อมั่นชิงแชร์ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มได้ ตั้งเป้าไตรมาส 3 กวาดยอดขาย 400 ล้านบาท ทั้งปีได้ตามเป้า 1,400 ล้านบาท

        นายพิศาล ธรรมวิเศษ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีดีเฮ้าส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ ผู้นำในธุรกิจรับสร้างบ้าน กล่าวถึงภาพรวมตลาดรับสร้างบ้าน ทั่วประเทศในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาว่า ยังคงมีการแข่งขันราคารุนแรงและต่อเนื่อง เหตุเพราะความต้องการสร้างบ้านและกำลังซื้อผู้บริโภคยังไม่ฟื้นตัวดี กอปรกับในบางพื้นที่เกิดคู่แข่งทั้งทางตรงและทางอ้อมเพิ่มขึ้น ทั้งบริษัทรับสร้างบ้าน บ้านจัดสรรในท้องถิ่นและจากส่วนกลาง ที่รุกขยายตลาดและสาขาออกไปในหลายๆ จังหวัด ขณะที่กำลังซื้อผู้บริโภคยังมีเท่าเดิมหรือทรงตัว ส่งผลให้ตัวเลขยอดขายของบรรดาผู้ประกอบการถูกแชร์แบ่งกัน และส่วนใหญ่ยังต่ำกว่าเป้าที่คาดการณ์ไว้ครึ่งปีแรก

        "จากการที่รัฐบาลประกาศใช้กฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับใหม่ โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในปี 2560 นั้น ประเด็นดังกล่าวมีผลด้านบวกต่อภาพรวมธุรกิจรับสร้างบ้านมากกว่า โดยเฉพาะการเก็บภาษีที่ดินรกร้างว่างเปล่าแบบอัตราก้าวหน้า  ตัวอย่างเช่น ที่ดินขนาด 50 ตารางวา มูลค่า 1 ล้านบาท (ราคาตารางวาละ 2 หมื่นบาท) หากปล่อยทิ้งไว้รกร้างว่าเปล่านาน 7 ปีขึ้นไป จะต้องเสียภาษีอัตราสูงสุดร้อยละ 3 หรือคิดเป็นเงิน 3 หมื่นบาทต่อปี ซึ่งถือเป็นภาระที่ประชาชนต้องแบกรับค่าภาษีที่สูงพอสมควร นโยบายดังกล่าวของรัฐบาล จึงเป็นการกระตุ้นให้ประชาชนหรือเจ้าของที่ดินเปล่า ซึ่งมีให้เห็นอยู่ตามตรอกซอกซอยจำนวนมากในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลและจังหวัดใกล้เคียง หันมาปลูกสร้างบ้านหรือใช้ประโยชน์กันมากขึ้น คาดว่าจะเริ่มส่งผลดีต่อตลาดรับสร้างบ้านในช่วงครึ่งปีหลังเป็นต้นไป"

        ในส่วนของบริษัทฯ  ปีนี้ถือเป็นปีแห่งการปรับตัว  โดยช่วงครึ่งปีแรกได้มีการรีแบรนด์ (Rebrand) และเปลี่ยนเครื่องหมายการค้าใหม่ พร้อมกันนี้ก็ทำการรีโปรดักต์ (Re-Product) ด้วยการนำระบบโครงสร้างเหล็กมาใช้แทนการก่อสร้างบ้านระบบเดิมมากขึ้นด้วย

        สำหรับในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทฯมีการปรับแผนการตลาดบางส่วน เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์แข่งขันที่เปลี่ยนไป ทั้งนี้เพื่อสร้างโอกาสทางการตลาดในทำเลใหม่ๆ และเจาะเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายใหม่มากขึ้น โดยจะมีการรีโลเกชั่น (ReLocation) หรือย้ายที่ตั้งสำนักงานสาขาเดิม ที่เห็นว่าพื้นที่นั้นๆ ตลาดเริ่มอิ่มตัวหรือมีการแข่งขันสูง หรือเป็นพื้นที่ที่มีสาขาตั้งอยู่ใกล้กันให้บริการได้อยู่แล้ว เช่น สาขาพระราม 2 ที่อยู่ใกล้กับสาขากาญจนาภิเษก (ตลิ่งชัน) รวมทั้งจะมีการขยับสาขาที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากนโยบายของรัฐบาล ว่าด้วยการจัดเก็บภาษีบ้านหลังที่ 2 เพราะประเมินว่าในอนาคตตลาดรับสร้างบ้าน ในพื้นที่ดังกล่าวจะไม่เติบโตเหมือนที่ผ่านมา อาทิ สาขาปากช่อง (เขาใหญ่) ฯลฯ เป็นต้น

        นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเตรียมแผนรีไพรซ์ (Re-Price) หรือปรับราคาขายบ้านจากราคาปกติลงเฉลี่ย 3-5% โดยจะเริ่มดำเนินการภายในสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ สาเหตุที่ตัดสินใจเพราะปัจจัยในเรื่องความสามารถในการบริหารต้นทุนได้ต่ำลง ทั้งในส่วนของต้นทุนวัสดุที่ใช้การรวมคำสั่งซื้อภายใต้ระบบแฟรนไชส์ และการ นำระบบก่อสร้างและวัสดุสำเร็จรูปมาใช้มากขึ้น ซึ่งช่วยให้ลดระยะเวลาและทำให้ต้นทุนค่าก่อสร้างลดลง ทั้งนี้การปรับราคาบ้านลงจะไม่กระทบกำไรต่อหน่วย แต่ในมุมตรงข้ามกลับช่วย สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน และสอด คล้องกับสถานการณ์กำลังซื้อผู้บริโภคที่มีอยู่จำกัด

        "เราคาดว่าผลจากการขยับลดราคาลง จะกระตุ้นยอดขายให้เติบโตมากในช่วงครึ่ง ปีหลัง แต่หากในระยะข้างหน้า หากภาวะเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น มีการลงทุนเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราคาวัสดุก่อสร้างซึ่งเป็นต้นทุนสูงขึ้น ทางบริษัทก็อาจจะมาทบทวนขยับราคาขึ้นตามต้นทุนที่แท้จริง" นายพิศาล กล่าว

        ปี 2559 นี้ บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายรวมไว้ทั้งสิ้น 1,400 ล้านบาท โดยในช่วง 6 เดือนแรกมียอดขายรวม 620 ล้านบาทเศษ จากเป้าครึ่งปีตั้งไว้ 700 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าประมาณร้อยละ 10 อย่างไรก็ตาม แม้ตัวเลขยอดขายไม่ถึงเป้าที่ตั้งไว้ แต่ก็ไม่ถือว่าเลวร้ายมากนัก เมื่อเปรียบเทียบกับภาพรวมตลาดบ้านสร้างเองที่ยังไม่ฟื้นตัว  โดยไตรมาส 3 นี้ บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายไว้ 400 ล้านบาท
 
ที่มา : ผู้จัดการรายวัน 360 องศา
( วันที่ 11 กรกฎาคม 2559 )