ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ
  • ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ
ข่าวอสังหาริมทรัพย์
Line
19 ม.ค.2564

อสังหาฯรุกหนักตลาดตจว.บ้าน3-5ล้านแข่งดุรับสร้างบ้านหนีเจาะกลุ่มไฮเอนด์

Line


การแข่งขันที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นในทุก ปีของตลาดบ้านสร้างเอง โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล ซึ่งเป็นสมรภูมิ หลักของผู้ประกอบการรับสร้างบ้าน ส่งผลให้ในช่วงที่ผ่านมามีผู้ประกอบการรับสร้างบ้านหลายๆราย ขยายพื้นที่เป้าหมายออกไปสู่ตลาดภูมิภาค หรือ ต่างจังหวัดเพิ่มมากขึ้น 

 

อย่างไรก็ตามแม้ว่าในช่วงแรกๆ ผู้ประกอบการที่ขยายสาขาไปในต่างจังหวัดจะได้รับการตอบรับจากลูกค้าที่ดีมาก แต่จากการตอบรับที่ดีดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อผู้รับเหมาก่อสร้างรายย่อย ซึ่งเดิมถือแชร์ในตลาดบ้านสร้างเองเกือบ100% การสูญเสียกลุ่มลูกค้าจากการก้าวเข้ามาของบริษัทรับสร้างบ้านทำให้ผู้รับเหมาก่อสร้างในพื้นที่ต่างจังหวัด มีการปรับตัวเปิดบริษัทรับสร้างบ้าน ในพื้นที่ของตัวเอง เพื่อเข้ามาชิงแชร์ตลาดบ้านสร้างเอง แต่อย่างไรก็ตามความน่าเชื่อถือ ระบบการก่อสร้างที่ได้คุณภาพ และความเป็นมืออาชีพ รวมถึงภาพลักษณ์ และแบรนด์ที่เป็นที่ยอมรับของบริษัทรายใหญ่จากส่วนกลาง ทำให้ผู้ประกอบการหลายๆในพื้นที่เสียเปรียบด้านการแข่งขันสิ่งที่ตามมาคือการลดราคาเพื่อแย่งลูกค้าในพื้นที่ของบริษัทรายย่อยส่งผลให้การแข่งขันตลาดบ้านสร้างเองในต่างจังหวัดปรับตัวสูงขึ้นตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

 

ขณะเดียวกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 ในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะกลุ่มที่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม ประกอบกับในตลาดมีซับพลายคอนโดสะสมอยู่เป็นจำนวนมากทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ ปรับตัวด้วยการลดการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวสูงและมาพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบเพิ่มมากขึ้น

 

ในการขยายตลาดเข้าสู่กลุ่มที่อยู่อาศัยแนวราบของผู้ประกอบการอสังหาฯ พื้นที่เป้าหมายที่มีการขยายและพัฒนาโครงการจำนวนมากคือพื้นที่รอยต่อระหว่าง กรุงเทพฯและปริมณฑล รวมไปถึงพื้นที่หัวเมืองหลักในต่างจังหวัด ซึ่งแน่นอนว่าการก้าวเข้าสู่ ตลาดภูมิภาคของบริษัทอสังหาฯ มันส่งผลกระทบต่อดีมานด์ที่อยู่อาศัยในตลาดระดับราคา 2-5 ล้านบาท ซึ่งเป็นตลาดหลักของผู้รับเหมาก่อสร้างและบริษัทรับสร้างบ้าน ที่ตามมาคือการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นนั่นเอง 

นายสิทธิพรสุวรรณสุต ประธานเจ้าหน้าที่ บริษัท พีดีเฮ้าส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่าในช่วงแรกที่บริษัทขยายตลาดเข้าสู่พื้นที่ต่างจังหวัดการตอบรับที่ดีและยอดขายที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องส่งผลให้รายได้ของบริษัทขยายตัวขึ้นทุกปีแต่ในช่วงหลังบริษัทรับสร้างบ้านจากส่วนกลางมีการขยายตลาดเข้าสู่พื้นที่ต่างจังหวัดมากขึ้นขณะเดียวกันผู้รับเหมาก่อสร้างในพื้นที่ต่างจังหวัดได้มีการผันตัวมาเปิดบริษัทรับสร้างบ้านขนาดเล็กเพื่อจัดกลุ่มที่อยู่อาศัยระดับราคา 2-3ล้านบาททำให้ตลาดดังกล่าวการแข่งขันรุนแรงมากขึ้น

 

อย่างไรก็ตามความน่าเชื่อถือแบรนด์คุณภาพงานก่อสร้างของผู้ประกอบการรายใหญ่ยังคงเป็นข้อได้เปรียบผู้ประกอบการรายย่อยในพื้นที่ทำให้ยอดขายยังสามารถขยายตัวได้ดีแต่ในช่วง 3-5ปีที่ผ่านมาภายหลังการขยายตลาดเข้าสู่พื้นที่ต่างจังหวัดโดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดหัวเมืองใหญ่ของผู้ประกอบการอสังหาฯส่งผลกระทบต่อดีมานด์ในตลาดที่อยู่อาศัย 3-5ล้านบาทอย่างมากเนื่องจากลูกค้าในตลาดนี้หันไปซื้อที่อยู่อาศัยในโครงการจัดสรรมากขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่ม 3-5ล้านบาทซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่สุดในตลาดรับสร้างบ้าน

 

“ในอดีตที่ผ่านมาโครงการบ้านจัดสรรในจังหวัดหัวเมืองใหญ่แม้จะมีการพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่องแต่การได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคมีค่อนข้างต่ำเนื่องจากผู้พัฒนาโครงการส่วนใหญ่เป็นบริษัทในพื้นที่ในการลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยนั้นค่อนข้างให้พื้นที่ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกน้อยทำให้ไม่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคมากเท่าที่ควร” 

 

แต่ภายหลังจากที่ผู้ประกอบการอสังหาฯจากส่วนกลางโดยเฉพาะบริษัทจำกัด(มหาชน)มีการขยายตลาดเข้าสู่พื้นที่ต่างจังหวัดโครงการบ้านจัดสรรเริ่มได้รับการยอมรับและเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้บริโภคต่างจังหวัดเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากบริษัทอสังหาฯจากส่วนกลางที่เข้ามาพัฒนาโครงการในพื้นที่ให้พื้นที่ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการค่อนข้างครบครันต่างจากบริษัทอสังหาในพื้นที่อย่างมากการขยายตลาดเข้ามาพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรของบริษัทอสังหาฯประกอบกับการเกิดขึ้นของบริษัทรับสร้างบ้านรายย่อยในพื้นที่ต่างจังหวัดและการขยายตลาดจากบริษัทรับสร้างบ้านจากส่วนกลางส่งผลให้แข่งขันในตลาดต่างจังหวัดสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

นอกจากการขยายตลาดเข้ามาของบริษัทอสังหาฯแล้วปัญหาสำคัญในการแข่งขันคือการเกิดขึ้นของบริษัทรับสร้างบ้านรายย่อยและการขยายบริการเข้ามาของบริษัทรับสร้างบ้านจากส่วนกลางในหัวเมืองขนาดใหญ่ทำให้เกิดการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นในทุกๆปีในพื้นที่จังหวัดหัวเมืองใหญ่อย่างน้อยๆจะมีบริษัทรายย่อยที่เกิดขึ้น 3-5บริษัทขณะที่บริษัทรับสร้างบ้านจากส่วนกลางที่เข้ามาจะมีประมาณ 4-5รายแต่หากเป็นจังหวัดใหญ่จะมีบริษัทรับสร้างบ้านในพื้นที่กว่า15-20บริษัทซึ่งเรียกได้ว่าการแข่งขันรุนแรงมากจริงๆ


 

สถานการณ์การแข่งขันที่เกิดขึ้นทำให้บริษัทมีการปรับแผนในการขยายตลาดพื้นที่ต่างจังหวัดใหม่โดยในปีนี้บริษัทมีแผนจะขยายสาขาในจังหวัดหัวเมืองรองซึ่งมีดีมานรองรับอยู่แล้วขณะเดียวกันเพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดระดับล่างบริษัทได้ขยายฐานตลาดไปสู่กลุ่มบ้านสร้างเอ็นระดับราคา 20 - 30ล้านบาทซึ่งเป็นกลุ่มบ้านระดับไฮเอนด์โดยมีกลุ่มลูกค้าหลักในจังหวัดหัวเมืองรองคือกลุ่มแพทย์นักธุรกิจเจ้าของกิจการร้านค้าเช่นร้านค้าส่งเจ้าของโรงสีโรงน้ำแข็งฯลฯ

 

และที่สำคัญคือกลุ่มเขยฝรั่งซึ่งถือเป็นกลุ่มลูกอ่ะลูกค้าเป้าหมายที่สำคัญของบริษัทในการขยายฐานตลาดไปสู่กลุ่มที่อยู่อาศัยในตลาดไฮเอนด์ทั้งนี้ในช่วงไตรมาส4/63ที่ผ่านมาแทบทุกสาขาในหัวเมืองหลักมีลูกค้าจากจังหวัดหัวเมืองรองเดินทางเข้ามาติดต่อขอข้อมูลในการก่อสร้างบ้านและมีอีกจำนวนมากที่ขอข้อมูลและรายละเอียดเกี่ยวกับการก่อสร้างบ้านผ่านทางระบบออนไลน์ซึ่งกลุ่มลูกค้าเหล่านี้เรียกร้องให้มีการเปิดสาขาในพื้นที่จังหวัดหัวเมืองลองเพื่อรองรับการใช้บริการของกลุ่มลูกค้าในพื้นที่ที่ขยายตัวมากขึ้น

 

ในส่วนของกลุ่มลูกค้าเคยฝรั่งหรือกลุ่มชาวต่างชาติที่ได้ภรรยาเป็นคนไทยก่อนหน้านี้ในสาขาต่างจังหวัดทุกสาขาโดยเฉพาะในภาคอีสานมีการติดต่อจองซื้อและทำสัญญาก่อสร้างบ้านจำนวนมากโดยกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติมีแผนจะเดินทางเข้ามาสร้างบ้านในปี 64ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงที่โควิด-19จบลงแล้ว

 

แต่อย่างไรก็ตามการระบาดของเชื้อโควิด-19ในรอบใหม่นี้ส่งผลให้กลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติยืดระยะเวลาในการเดินทางเข้ามาก่อสร้างบ้านออกไปอีกเนื่องจากยังไม่สามารถเดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้ทั้งนี้คาดว่าหลังการนำเข้าวัคซีนต้านโควิด-19ในช่วงไตรมาสที่2จะส่งผลให้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19จบลงโดยเร็วซึ่งจะทำให้การตัดสินใจก่อสร้างบ้านของกลุ่มลูกค้ากลับมาฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วและมั่นใจว่าหากสถานการณ์โคลวิทท์ 19จบลงในช่วงครึ่งปีหลังตลาดจะกลับมาฟื้นตัวและขยายตัวได้อีกครั้ง

 

นายอนันตกร อมรวาที กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสเตอร์แปลน 101 จำกัด กล่าวว่า ตลาดบ้านสร้างเองทั่วประเทศในแตละปีมีมูลค่ารวมประมาณ 1.3-1.5แสนล้านบาทโดยธุรกิจรับสร้างบ้านหรือกลุ่มผู้ประกอบการรับสร้างบ้านที่ไม่ใช่ผู้รับเหมารายย่อยทั่วไปมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 1.4-1.5หมื่นล้านบาท ซึ่งในจำนวนดังกล่าวกลุ่มบ้านไฮเอนด์ระดับราคา 20-200ล้านบาทมีส่วนแบ่งอยู่ประมาณ 10-15%คิดเป็นมูลค่าประมาณ 3,000ล้านบาทจากเดิมที่บ้านกลุ่มไฮเอนด์มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ประมาณ 10%แต่ในช่วงหลังที่ผ่านมาบริษัทรับสร้างบ้านส่วนใหญ่ที่เคยทำตลาด 3 - 10ล้านบาทแทบทุกรายได้ขยายตลาดเข้าสู่กลุ่มบ้านไฮเอนด์ระดับราคา 10 - 30ล้านบาททำให้ตลาดไฮเอนด์มีแชร์ส่วนแบ่งมากกว่าในอดีต

 

ขณะเดียวกันกลุ่มบ้านระดับไฮเอนด์นับเป็นตลาดที่มีการขยายตัวต่อเนื่องในทุกปีไม่ว่าภาวะเศรษฐกิจหรือภาวะปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้นไม่เคยส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจสร้างบ้านของกลุ่มลูกค้าในตลาดนี้เนื่องจากเป็นตลาดที่ผู้บริโภคมีกำลังซื้อสูงและส่วนใหญ่เป็นเงินออมส่วนตัวไม่ได้เกิดจากการกู้ยืมนำมาใช้ในการก่อสร้างบ้าน

 

ทั้งนี้จากสถิติตัวเลขที่บริษัทมีการจัดเก็บในช่วงที่ผ่านมาพบว่ากลุ่มบ้านสร้างเองระดับราคา 20-30ล้านบาทมีอัตราเติบโต 20%ต่อปีกลุ่มบ้านสร้างเองราคา 30-50ล้านบาทเติบโต 15-20%ต่อปีกลุ่มบ้านสร้างเองราคา 50-100ล้านบาทเติบโต 10%ต่อปีกลุ่มบ้านสร้างเองราคา 100-200ล้านบาทเติบโต 5-10%ต่อปีในขณะที่บางปีที่ตลาดได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจรุนแรงจนทำให้มีการชะลอตัวในตลาดบ้านไฮเอนด์แต่อัตราการขยายตัวในตลาดนี้ยังคงมีอย่างต่อเนื่องโดยมีอัตราการเติบโตต่ำสุดประมาณ 5%

 

ระดับอัตราการขยายตัวของตลาดไฮเอนด์ถือว่ามีเสถียรและภาพที่ดีอย่างต่อเนื่องทำให้ตลาดไฮเอนด์ได้รับความสนใจจากบริษัทรับสร้างบ้านเพิ่มมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมาโดยเฉพาะหลังจากที่มีการขยายตลาดเข้าสู่ต่างจังหวัดทำให้อัตราการเติบโตของตลาดบ้านให้เองมีความต่อเนื่องและมีเสถียรภาพที่สูงขึ้น

 

อย่างไรก็ตามการขยายเข้าสู่ตลาดต่างจังหวัดบริษัทไม่ได้มีการขยายสาขาหรือการเปิดสาขาในพื้นที่ต่างจังหวัดแต่จะอาศัยการทำตลาดผ่านระบบออนไลน์เป็นหลักขณะเดียวกันกลุ่มลูกค้าของบริษัทซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเฉพาะและเป็นกลุ่มที่มีการบอกต่อถึงคุณภาพการก่อสร้างทำให้บริษัทได้รับความเชื่อถือและมีการใช้บริการในวงกว้างมากขึ้น

 

การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของบ้านสร้างเองในช่วงที่ผ่านมาทำให้ตลาดไฮเอนด์กลายเป็นตลาดที่มีความน่าสนใจทั้งนี้คาดว่าในปี 64ตลาดรวมในกลุ่มไฮเอนด์จะมีการขยายตัวอยู่ที่ประมาณ 10%“




ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 18 มกราคม 2564