ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ
  • ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ
ข่าวอสังหาริมทรัพย์
Line
03 เม.ย.2557

รับสร้างบ้าน Q1/57 ภาคเหนือ-กลาง-อีสานโตพรวดพราด 22% ส่วน "กทม.+ใต้" แผ่วสุดสุด

Line
รับสร้างบ้าน Q1/57 ภาคเหนือ-กลาง-อีสานโตพรวดพราด 22% ส่วน "กทม.+ใต้" แผ่วสุดสุด
 
 
 
 
นายสิทธิพร สุวรรณสุต นายกสมาคมไทยรับสร้างบ้าน (THBA) เปิดเผยว่า จากการประเมินภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านทั่วประเทศในช่วงไตรมาส 1/57 ที่ผ่านมา ในกลุ่มสมาชิกสมาคมฯ โดยแยกเป็น 2 ตลาดหลัก ๆ ได้แก่ 1.ตลาดรับสร้างบ้านในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 2.ตลาดรับสร้างบ้านในภูมิภาคหรือต่างจังหวัด ซึ่งทั้งสองตลาดมีการขยายตัวและถดถอยที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยสมาคมฯ พบว่ากำลังซื้อหรือความต้องการสร้างบ้านใน กทม.และปริมณฑล ยังชะลอตัวต่อเนื่อง หรือลดลงกว่ามากกว่า 10% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เป็นเพราะได้รับผลกระทบจากปัญหาความวุ่นวายทางการเมือง และเศรษฐกิจประเทศที่ชะลอตัว ประกอบกับแนวโน้มและพฤติกรรมของผู้บริโภค ที่หันมานิยมเลือกซื้อที่อยู่อาศัยประเภทอื่นแทนการสร้างบ้านเองมากขึ้น เช่น คอนโดมิเนียม ฯลฯ เหตุผลเพราะราคาและความสะดวกในการเดินทางและการใช้ชีวิตในเมือง
 
@ แหร่ม...ตลาดเหนือ-กลาง-อีสานโต 22%
 
ขณะที่ตลาดรับสร้างบ้านในต่างจังหวัด ซึ่งถือเป็นตลาดใหม่ของธุรกิจรับสร้างบ้านยังสามารถเติบโตได้ดี ทั้งนี้ พบว่าความต้องการสร้างบ้านของผู้บริโภคในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคอีสาน เติบโตถึง 22% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2556
 
อย่างไรก็ดี พบว่ากำลังซื้อส่วนหนึ่งของผู้บริโภคในภาคใต้เติบโตแบบชะลอตัว หรือขยายตัวเพียง 2% โดยประเมินว่าได้รับผลกระทบจากราคาสินค้าเกษตรที่ปรับตัวลดลง ได้แก่ ยางพารา ปาล์ม นอกจากนี้ ผู้บริโภคและประชาชนในพื้นที่ส่วนใหญ่ ต่างหันมาให้ความสนใจปัญหาการเมืองมากกว่าเรื่องอื่น ๆ จึงชะลอการตัดสินใจเรื่องสร้างบ้านหรือที่อยู่อาศัยหลังใหม่ไว้ชั่วขณะ
 
สำหรับทิศทางการแข่งขันของธุรกิจรับสร้างบ้านในไตรมาส1/57 ถือว่าไม่รุนแรงนัก อาจเป็นเพราะปัจจัยลบที่ยังรุมเร้าผู้ประกอบการเอง อาทิ ปัญหาขาดแคลนแรงงานก่อสร้าง ฯลฯ รวมถึงยังมีความกังวลเกี่ยวกับต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยเฉพาะวัสดุก่อสร้างที่ใช้ปูนซิเมนต์เป็นวัตถุดิบหลัก เช่น คอนกรีตผสมเสร็จ อิฐมวลเบา กระเบื้องหลังคาคอนกรีต พื้นสำเร็จรูป เสาเข็ม ฯลฯ
 
ล่าสุดข้อมูลเมื่อปีที่แล้วผู้ผลิตมีการปรับราคาหลายรอบ คิดเป็นอัตราปรับขึ้นเฉลี่ย 15-20% ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องลดการจัดโปรโมชั่นและหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคา เพราะไม่อาจแบกรับต้นทุนที่ผันผวนได้ ขณะเดียวกันผู้ประกอบการก็ไม่สามารถปรับขึ้นราคาขายบ้านได้ในช่วงเวลานี้ เพราะภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อชะลอตัว
 
@ แนวโน้มและทิศทางตลาดไตรมาส 2
 
จากปัญหาขาดแคลนแรงงานและค่าแรงแพง ซึ่งถือเป็นอุปสรรคสำคัญที่บั่นทอนขีดความสามารถของบริษัทรับสร้างบ้านส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่พบว่าแรงงานก่อสร้างขาดแคลนอย่างหนัก ทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ไม่อาจสร้างบ้านให้แล้วเสร็จตามเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา และไม่สามารถขยายการรับงานสร้างบ้านได้เพิ่มขึ้น เห็นได้ว่ามีผู้ประกอบการชั้นนำหลายรายเริ่มเบนเข็มหันไปขยายตลาดและรับงานสร้างบ้านในต่างจังหวัดมากขึ้น เพราะสามารถหาแรงงานได้ง่ายกว่า รวมถึงกำลังซื้อและความต้องการสร้างบ้านมีมากพอ การแข่งขันไม่รุนแรงมากนัก สะท้อนให้เห็นว่าทิศทางตลาดรับสร้างบ้านในครึ่งปีแรกและตลอดปีนี้ มีแนวโน้มขยายตัวในต่างจังหวัดเพิ่มมากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับในปีที่ผ่าน ๆ มา
 
"จากที่กล่าวข้างต้น ชี้ให้เห็นว่าผู้ประกอบการมีการปรับตัวเพื่อลดอุปสรรคและการแข่งขันรุนแรงในตลาดเดิม และถือเป็นก้าวที่สองของการขยายโอกาสทางการตลาด ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งก่อนหน้านี้ผู้ประกอบการรับสร้างบ้านส่วนใหญ่แข่งขันกระจุกตัวอยู่เฉพาะในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ดังนั้น ทิศทางการปรับตัวของผู้ประกอบการดังกล่าวสอดคล้องกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงพฤติกรรมหรือไลฟ์สไตล์ ตลอดจนกำลังซื้อของผู้บริโภคในต่างจังหวัด ทั้งนี้ สมาคมฯ ประเมินว่านับจากไตรมาส 2/57 เป็นต้นไป ตลาดรับสร้างบ้านต่างจังหวัดมีโอกาสขยายตัวต่อเนื่อง"
 
สำหรับแนวโน้มการแข่งขันในช่วงไตรมาส 2/57 คาดว่าผู้ประกอบการทั่วไปยังคงเลือกใช้การแข่งขันด้านราคาเป็นกลยุทธ์หลัก เช่น โปรโมชั่นส่วนลดเงินสด 15-20% ฯลฯ โดยเฉพาะรายที่ชื่อเสียงขาดความน่าเชื่อถือหรือถูกผู้บริโภคร้องเรียนบ่อย ๆ ขณะเดียวกัน สำหรับผู้ประกอบการรายที่ได้รับความเชื่อถือจะเน้นแข่งขันที่คุณภาพ บริการก่อนและหลังการขาย และเน้นความสะดวกที่ผู้บริโภคได้รับ โดยไม่เน้นแข่งลดราคาแต่อย่างใด ในฟากผู้บริโภคเองก็มองว่า ราคาขายบ้านที่ผู้ประกอบการทำการโฆษณา ไม่ใช่ราคาขายที่แท้จริง แต่เป็นราคาที่ตั้งเผื่อไว้สำหรับลดราคาภายหลังเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจ 
 
อย่างไรก็ดี สมาคมฯ ประเมินว่าภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านในไตรมาส 2/57 ยังไม่ฟื้นตัว โดยปัญหาการเมืองยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญที่ฉุดกำลังซื้อให้ชะลอตัวต่อเนื่อง
 
@ สมาคมฯ แนะเคล็ดลับธุรกิจ
 
นายสิทธิพรกล่าวต่อว่า ปัญหาการชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาลของประชาชนที่ยืดเยื้อมากว่า 5 เดือน ส่งผลกระทบต่อภาพรวมธุรกิจรับสร้างบ้าน อันเนื่องจากผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจลงทุนสร้างบ้านหลังใหม่ โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีการชุมนุมนั้นได้รับผลกระทบค่อนข้างรุนแรง ได้แก่ ตลาดรับสร้างบ้านในเขตกรุงเทพฯ และภาคใต้ซึ่งกำลังซื้อชะลอตัวมาหลายเดือนแล้ว 
 
ในส่วนของตลาดรับสร้างบ้านภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคกลางก็ได้รับผลกระทบเช่นกันแต่ไม่รุนแรงมากนัก ผู้ประกอบการจึงควรเร่งปรับตัวเพื่อรับมือกับกำลังซื้อในตลาดพื้นที่เดิมที่ลดลง ทั้งด้านการบริหารจัดการและวิธีทางการตลาดเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายใหม่มากที่สุด ได้แก่ 1.การขยายพื้นที่ให้บริการหรือขยายสาขาต่างจังหวัด 2.การเลือกใช้เครื่องมือสื่อสารทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพ 3.การปรับกระบวนการบริหารจัดการในองค์กรให้สอดคล้องกับภาวะแรงงานขาดแคลน เป็นต้น
 
"ต้องยอมรับว่าแนวโน้มตลาดรับสร้างบ้านในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ถึงแม้จะไม่มีวิกฤติการเมืองหรือเศรษฐกิจชะลอตัว แต่ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาก็รับรู้ได้ว่าตลาดเริ่มเข้าสู่ภาวะอิ่มตัว ด้วยเหตุหลาย ๆ ปัจจัย ทั้งเรื่องที่ดินเปล่าสำหรับปลูกสร้างบ้านน้อยลง ราคาที่ดินแพง สินค้าที่เป็นคู่แข่งมีให้เลือกมากขึ้น เช่น คอนโดมิเนียม ฯลฯ แต่ในอีกมุมหนึ่งจะพบว่าธุรกิจขนาดใหญ่และความเจริญทางเศรษฐกิจกำลังขยายสู่ภูมิภาคหรือต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่องจึงเป็นเหตุผลทำไมความต้องการสร้างบ้านหรือที่อยู่อาศัยหลังใหม่ในต่างจังหวัดจึงเติบโต และมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง"
 
@ รู้เขา-รู้เรา เข้าถึงผู้บริโภค
 
ในส่วนของผู้ประกอบการเอง หากสนใจจะลงทุนเชิงรุกด้วยการขยายตลาดรับสร้างบ้านต่างจังหวัด ก็ควรเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะควรให้ความสำคัญกับการที่ผู้บริโภคจะสามารถเข้าถึงตัวผู้ประกอบการได้ง่ายที่สุด อาทิ มีสาขาให้บริการในพื้นที่ การใช้สื่อโฆษณาและประชาสัมพันธ์ที่เฉพาะเจาะจงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ เช่น ป้าย โซเชียลมีเดีย ฯลฯ ซึ่งมีต้นทุนต่ำกว่าและวัดผลได้ชัดเจน 
 
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการควรพัฒนากระบวนการทำงานก่อสร้างให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อลดปัญหาค่าแรงแพงกับแรงงานขาดแคลนหนัก โดยอาจหันมาพึ่งพาเทคโนโลยีและใช้เครื่องมือก่อสร้างที่ทันสมัยมากขึ้น เพื่อทดแทนการใช้แรงงาน ซึ่งสามารถทำงานได้ปริมาณมากขึ้นในระยะเวลาเท่ากัน
 
ทั้งนี้ เชื่อว่าหากผู้ประกอบการมีการพัฒนาและปรับปรุงตามแนวทางดังกล่าว จะทำให้ผู้บริโภคสัมผัสได้ถึง "ความแตกต่าง" เมื่อเปรียบเทียบกับผู้รับเหมารายย่อยในท้องถิ่น และสะท้อนถึงความเป็นมืออาชีพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สมาคมฯ พบว่าแนวทางดังกล่าว เริ่มมีผู้ประกอบการชั้นนำหลายราย นำมาใช้เป็นกลยุทธ์การแข่งขันอย่างได้ผล ทั้งในแง่การขยายตลาดที่เป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย รวมทั้งมียอดขายที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น จึงขึ้นอยู่กับว่าผู้ประกอบการรายใด มองเห็นโอกาสและเริ่มต้นก่อน ก็ย่อมจะได้เปรียบในการแข่งขัน
 
 
 
 
 
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ วันที่ 2 เมษายน 2557
http://goo.gl/dNP8xo