26 พ.ค.2566
ธุรกิจอสังหาฯ-รับสร้างบ้าน-วัสดุฯ ชงการบ้าน ลุ้นตั้งรัฐบาลใหม่ฟื้นเชื่อมั่น เตรียมรับแรงกระแทกขึ้น "ค่าแรง"
เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าผลการเลือกตั้งที่ออกมา พรรคก้าวไกล ได้รับคะแนนเสียงมาเป็นอันดับ 1 จนทำให้พรรคการเมืองใหญ่หลายพรรคต้องพ่ายแพ้ โดยเฉพาะฐานในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่เป็น 'เมืองหลวง' ของประเทศไทย พรรคสีส้มกวาดเรียบไปแบบถล่มทลาย เหลือแค่ 1 เขต ที่เป็นแดง (พท.) ในดงส้ม
แต่สิ่งที่สะท้อนออกมาหลังการเลือกตั้งดูเหมือนว่า 'ตลาดหุ้น' ไม่ตอบสนอง ตลาดหุ้นร่วงอันเป็นผลจากนโยบายก้าวไกล ของการเลิกทุนผูกขาด และยิ่งความไม่แน่นอนของรัฐบาล อาจจะทำให้นักท่องเที่ยวเกิดความกังวล เกิดภาพเก่าๆ จะกลับมาจนกระทบต่อการท่องเที่ยวได้
แต่กระนั้นในมุมของ "ภาคธุุรกิจ" กับเรื่องจัดตั้งรัฐบาลใหม่เป็นความหวังที่อยากให้เกิดขึ้น วันนี้ ผู้จัดการรายวัน360 ได้นำเสนอเสียงสะท้อนจากผู้ที่อยู่ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์มานาน และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องต่อการคาดหวังกับรัฐบาลใหม่ที่ชูนโยบายหาเสียงอย่างร้อนแรง
3 ส.อสังหาฯ ชง "การบ้าน" เร่งแก้ไขอุปสรรค
นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่า หากมีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่แล้วยังใช้วิธีประชานิยมเท่ากับเป็นการรีดภาษามากกว่าลดภาษีมากกว่า ดังนั้น หากเป็นไปได้อยากให้ช่วยดำเนินการใน 3 เรื่องหลัก คือ 1.ร่างผังเมืองรวมกรุงเทพฯ (กทม.) ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 4 จากเดิมที่เคยตั้งเป้าว่าจะประกาศใช้ในช่วงปลายปี 2563 ก่อนขยับมาเป็นปี 2564 แต่สถานการณ์ต่างๆ ทำให้ต้องเลื่อนการประกาศใช้ไปอีกประมาณ 2 ปี ซึ่งมองว่า “ล่าช้า” เพราะการซื้อที่ดินย่านชานเมืองกรุงเทพฯ นั้นมีผลต่อการพัฒนาที่เอื้อกับแนวรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ เป็นอย่างมาก เพราะผังเมืองรวม กทม.ฉบับเดิมนั้นคงไม่เอื้อในการดำเนินธุรกิจที่อยู่อาศัย
2.เรื่องอัตราดอกเบี้ย ในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการระดับกลาง-เล็กเป็นอย่างมาก ในขณะที่ผู้ประกอบการายใหญ่กลับมียอดขายที่เติบโตกันแทบทั้งสิ้น หากนายเศรษฐา ทวีสิน ได้เป็นฝ่ายรัฐบาลต้องแก้ไขปัญหากลุ่มบ้านระดับกลาง-ล่างให้ได้ เพราะปัจจุบันราคาที่ดินปรับราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสถาบันการเงินไม่ค่อยรองรับลูกค้ากลุ่มดังกล่าว
3.เรื่องบ้านระดับกลาง-ล่าง รัฐบาลชุดใหม่ต้องมองโอกาสของคนอยากมีบ้านให้มีบ้านมากขึ้น มิเช่นนั้นจะเกิดปัญหาอย่างรุนแรงแน่นอน ซึ่งจะต้องแก้ไขกฎหมายอีกมาก หากให้การเคหะแห่งชาติ (กคช.) ดำเนินการเพียงองค์กรเดียว มองว่ากลไกในการดำเนินการคงเป็นในรูปแบบเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
นายวสันต์ เคียงศิริ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า เรื่องค่าแรงขั้นต่ำปัจจุบันอยู่ที่ 328-354 บาท/วัน ซึ่งต้องดูว่าจะช่วยแรงงานจริงหรือจะถ่วง เพราะการปรับขึ้นค่าแรงมีผลกระทบแน่นอน ทั้งค่าครองชีพ เงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้น จึงอยากให้รัฐบาลชุดใหม่เร่งดำเนินการแก้ไขภาพใหญ่ คือ เรื่องเศรษฐกิจให้ชัดเจน ซึ่งต้องรอให้ตั้งทีมเศรษฐกิจและมีนโยบายที่ชัดเจนออกมาเสียก่อน
นายพีระพงศ์ จรูญเอก นายกสมาคมอาคารชุดไทย และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI กล่าวว่า คงห่วงเรื่องงบประมาณปี 2567 ซึ่งต้องรีบจัดตั้งให้แล้วเสร็จโดยเร็วก่อนเดือนกันยายน 2566 เพื่อให้ทันใช้กับงบประมาณในปี 2567
ส่วนแนวทางในการกระตุ้นเศรษฐกิจต้องแก้ปัญหาและส่งเสริมด้านการส่งออก โดยรัฐบาลไทยควรจะมีการเจรจาจัดทำในความตกลงการค้าเสรีให้มีมากขึ้นจากเดิม เนื่องจาก FTA เดิมของรัฐบาลที่เซ็นไว้มีน้อยฉบับเกินไป ทำให้เสียเปรียบเวียดนามซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญ
ด้านค่าแรงอยากให้ปรับขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า เช่น จาก 350 บาท/วัน เป็น 400 บาท/วันไปก่อน มิเช่นนั้นจะเกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างแน่นอน สุดท้ายภาระจะกระทบทุกคน
ขณะที่ ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ปัจจุบันค่าก่อสร้างและราคาที่ดินที่สูงขึ้น จะมีผลให้ราคาบ้านปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 5-10% ซึ่งเราจะเห็นว่าตัวเลขในไตรมาส 1/66 ที่อยู่อาศัยแนวราบที่เปิดตัวใหม่ในระดับราคา 1.5 ล้านบาทขึ้นไปมีการเติบโต 118.7% แต่ราคาที่ต่ำกว่า 1.2 ล้านบาท เข้าสู่ภาวะชะลอตัว เนื่องจากปัจจัยต้นทุนที่สูงขึ้น
"ปีนี้ปัจจัยลบต่อภาคอสังหาฯ มีหลากหลาย ซึ่งเราต้องมาดูครึ่งหลังของปี 2566 ภาพรวมเศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างชัดเจนได้แค่ไหน และต้องคำนึงถึงเรื่องการบริหารประเทศของรัฐบาลชุดใหม่ และการเร่งจัดทำงบประมาณปี 2567 จะทันได้หรือไม่ ซึ่งอาจมีผลต่อความเชื่อมั่นของภาคอสังหาฯ การเปิดโครงการใหม่อาจจะลบร้อยละ 20% ได้" ดร.วิชัย กล่าว
ส่วนแนวทางในการกระตุ้นเศรษฐกิจต้องแก้ปัญหาและส่งเสริมด้านการส่งออก โดยรัฐบาลไทยควรจะมีการเจรจาจัดทำในความตกลงการค้าเสรีให้มีมากขึ้นจากเดิม เนื่องจาก FTA เดิมของรัฐบาลที่เซ็นไว้มีน้อยฉบับเกินไป ทำให้เสียเปรียบเวียดนามซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญ
ด้านค่าแรงอยากให้ปรับขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า เช่น จาก 350 บาท/วัน เป็น 400 บาท/วันไปก่อน มิเช่นนั้นจะเกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างแน่นอน สุดท้ายภาระจะกระทบทุกคน
ขณะที่ ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ปัจจุบันค่าก่อสร้างและราคาที่ดินที่สูงขึ้น จะมีผลให้ราคาบ้านปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 5-10% ซึ่งเราจะเห็นว่าตัวเลขในไตรมาส 1/66 ที่อยู่อาศัยแนวราบที่เปิดตัวใหม่ในระดับราคา 1.5 ล้านบาทขึ้นไปมีการเติบโต 118.7% แต่ราคาที่ต่ำกว่า 1.2 ล้านบาท เข้าสู่ภาวะชะลอตัว เนื่องจากปัจจัยต้นทุนที่สูงขึ้น
"ปีนี้ปัจจัยลบต่อภาคอสังหาฯ มีหลากหลาย ซึ่งเราต้องมาดูครึ่งหลังของปี 2566 ภาพรวมเศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างชัดเจนได้แค่ไหน และต้องคำนึงถึงเรื่องการบริหารประเทศของรัฐบาลชุดใหม่ และการเร่งจัดทำงบประมาณปี 2567 จะทันได้หรือไม่ ซึ่งอาจมีผลต่อความเชื่อมั่นของภาคอสังหาฯ การเปิดโครงการใหม่อาจจะลบร้อยละ 20% ได้" ดร.วิชัย กล่าว
ฝากรัฐบาลใหม่ใช้เงินให้คุ้มค่ากับที่หาเสียง
หวั่นเงินเฟ้อพุ่ง กระทบหนี้ครัวเรือน
นายอิสระ บุญยัง ประธานคณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ออกแบบ และก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และนายกกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า การจับขั้วของแต่ละพรรคเป็นเรื่องปกติทางการเมือง จึงอยากเห็นการประสานนโยบายต่างๆ เข้าด้วยกัน สิ่งใดที่ทำได้ สิ่งใดที่ทำไม่ได้ โดยเฉพาะพรรคที่ได้คะแนนเลือกตั้งมากที่สุดอันดับ 1 และ 2 ซึ่งในช่วงหาเสียงต้องยอมรับว่าแต่ละพรรคมีการให้คำมั่นสัญญาไว้เยอะ อีกทั้งนโยบายต่างๆ ต้องใช้เงินงบประมาณค่อนข้างสูง
"อยากให้คำนึงในเรื่องของปัญหาเงินเฟ้อด้วย เพื่อไม่ให้มาเป็นภาระของเอกชนในภายหลัง โดยเฉพาะนโยบายทำทันทีปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 450-600 บาท รวมถึงนโยบายชดเชยค่าโดยสารสาธารณะเพื่อลดราคาค่าโดยสาร เป็นต้น ซึ่งต้องชื่นชมเป็นนโยบายที่ดี แต่ทั้งนี้ล้วนแล้วแต่ต้องใช้งบประมาณแผ่นดินทั้งสิ้น"
ดังนั้น อยากฝากรัฐบาลชุดใหม่คำนึงถึงเรื่องการใช้เงิน การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ และการขับเคลื่อนในเรื่องของการเงินภาคเอกชนที่จะไม่ก่อให้เกิดการเร่งตัวของเงินเฟ้อ เพราะจะไปกระทบต่อดอกเบี้ยแท้จริง จะมีผลต่อหนี้ภาคครัวเรือนด้วย และกระทบต่อผู้ประกอบการทุกธุรกิจ ทุกอุตสาหกรรมที่มีภาระเงินกู้ด้วย
หวั่นเงินเฟ้อพุ่ง กระทบหนี้ครัวเรือน
นายอิสระ บุญยัง ประธานคณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ออกแบบ และก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และนายกกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า การจับขั้วของแต่ละพรรคเป็นเรื่องปกติทางการเมือง จึงอยากเห็นการประสานนโยบายต่างๆ เข้าด้วยกัน สิ่งใดที่ทำได้ สิ่งใดที่ทำไม่ได้ โดยเฉพาะพรรคที่ได้คะแนนเลือกตั้งมากที่สุดอันดับ 1 และ 2 ซึ่งในช่วงหาเสียงต้องยอมรับว่าแต่ละพรรคมีการให้คำมั่นสัญญาไว้เยอะ อีกทั้งนโยบายต่างๆ ต้องใช้เงินงบประมาณค่อนข้างสูง
"อยากให้คำนึงในเรื่องของปัญหาเงินเฟ้อด้วย เพื่อไม่ให้มาเป็นภาระของเอกชนในภายหลัง โดยเฉพาะนโยบายทำทันทีปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 450-600 บาท รวมถึงนโยบายชดเชยค่าโดยสารสาธารณะเพื่อลดราคาค่าโดยสาร เป็นต้น ซึ่งต้องชื่นชมเป็นนโยบายที่ดี แต่ทั้งนี้ล้วนแล้วแต่ต้องใช้งบประมาณแผ่นดินทั้งสิ้น"
ดังนั้น อยากฝากรัฐบาลชุดใหม่คำนึงถึงเรื่องการใช้เงิน การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ และการขับเคลื่อนในเรื่องของการเงินภาคเอกชนที่จะไม่ก่อให้เกิดการเร่งตัวของเงินเฟ้อ เพราะจะไปกระทบต่อดอกเบี้ยแท้จริง จะมีผลต่อหนี้ภาคครัวเรือนด้วย และกระทบต่อผู้ประกอบการทุกธุรกิจ ทุกอุตสาหกรรมที่มีภาระเงินกู้ด้วย
ธุรกิจรับสร้างบ้านแนะเร่งกระตุ้น ศก.
มั่นใจ 'เงินดิจิทัลหมื่นบาท' กระจายรายได้ทั่วประเทศ
นายสิทธิพร สุวรรณสุต ซีอีโอ บริษัท พีดี เฮ้าส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ภายใต้แบรนด์ ศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ ที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศ เปิดเผยว่า ถ้าพิจารณาดูนโยบาย 100 วันแรกของพรรคก้าวไกลแล้ว เป็นนโยบายที่ประชาชนทั้งหมดที่เลือกอยากให้เกิดและเห็นชัดเจน โดยเฉพาะในประเด็นการกระตุ้นภาพรวมเศรษฐกิจระยะสั้นนั้น ในมุมมองของผม ถ้าพรรคก้าวไกลจับมือกับพรรคเพื่อไทยอาจจะมาพิจารณาความเร็วและแรงของของนโยบายช่วงสั้น เนื่องจาก หากเป็นนโยบาย "เงินดิจิทัล 10,000 บาท" ของพรรคเพื่อไทย จะเป็นรูปแบบการโอนเงินให้ประชาชน ขณะที่พรรคก้าวไกลจะใช้เรื่อง "หวยใบเสร็จ" มาเป็นแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งหากมีการตกลงและยอมกันได้ น่าจะเอา "เงินดิจิทัล 10,000 บาท" มาใช้ เพราะได้ผลที่แรงกว่า กระจายรายได้ ปูพรมทั่วประเทศ
และอยากให้รัฐบาลชุดใหม่เร่งแก้ปัญหาและปราบ 'คอร์รัปชัน' ในวงการราชการ โดยเฉพาะผู้มีอิทธิพลทั้งหลาย ซึ่งหลายปีที่ผ่านมา ทำตัวเป็นเจ้านายประชาชน เอารับเอาเปรียบ รีดไถ
มั่นใจ 'เงินดิจิทัลหมื่นบาท' กระจายรายได้ทั่วประเทศ
นายสิทธิพร สุวรรณสุต ซีอีโอ บริษัท พีดี เฮ้าส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ภายใต้แบรนด์ ศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ ที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศ เปิดเผยว่า ถ้าพิจารณาดูนโยบาย 100 วันแรกของพรรคก้าวไกลแล้ว เป็นนโยบายที่ประชาชนทั้งหมดที่เลือกอยากให้เกิดและเห็นชัดเจน โดยเฉพาะในประเด็นการกระตุ้นภาพรวมเศรษฐกิจระยะสั้นนั้น ในมุมมองของผม ถ้าพรรคก้าวไกลจับมือกับพรรคเพื่อไทยอาจจะมาพิจารณาความเร็วและแรงของของนโยบายช่วงสั้น เนื่องจาก หากเป็นนโยบาย "เงินดิจิทัล 10,000 บาท" ของพรรคเพื่อไทย จะเป็นรูปแบบการโอนเงินให้ประชาชน ขณะที่พรรคก้าวไกลจะใช้เรื่อง "หวยใบเสร็จ" มาเป็นแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งหากมีการตกลงและยอมกันได้ น่าจะเอา "เงินดิจิทัล 10,000 บาท" มาใช้ เพราะได้ผลที่แรงกว่า กระจายรายได้ ปูพรมทั่วประเทศ
และอยากให้รัฐบาลชุดใหม่เร่งแก้ปัญหาและปราบ 'คอร์รัปชัน' ในวงการราชการ โดยเฉพาะผู้มีอิทธิพลทั้งหลาย ซึ่งหลายปีที่ผ่านมา ทำตัวเป็นเจ้านายประชาชน เอารับเอาเปรียบ รีดไถ
ในเรื่องการค้าการค้าลงทุนนั้น ทั้ง 2 พรรค (ก้าวไกล-เพื่อไทย) น่าทำได้ดีอยู่แล้ว โดยในมุมมองแล้ว เพื่อไทยมีประสบการณ์กว่า และจะสามารถดึงนักลงทุนกลับเข้ามาประเทศไทยได้ ซึ่งจริๆ แล้วต่างชาติอยากจะกลับเข้า เพียงแต่รอให้มีการจัดการเลือกตั้งในประเทศไทย ที่ผ่านมา เราจะเห็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่เป็นของต่างชาติ ปรับย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น เนื่องจากกังวลเรื่องความเป็นประชาธิปไตยในประเทศไทย และท่าทีสนับสนุนรัฐบาลของประเทศเพื่อนบ้าน เป็นต้น
ยอมรับ "ปรับขึ้นค่าแรง" กระทบต้นทุน
นายสิทธิพร กล่าวถึงการผลักดันนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงของทั้ง 2 พรรคนั้น เรายอมรับว่าอาจจะมีผลต่อต้นทุนการผลิตที่จะสูงขึ้น เนื่องจากนโยบายของพรรคก้าวไกล ได้หาเสียงที่จะเพิ่มค่าแรงเป็น 450 บาทต่อวันทันที และจะต้องปรับขึ้นทุกปี ขณะที่พรรคเพื่อไทย ชูนโยบายไว้แล้ว ภายในปี 2570 ค่าแรงไม่ต่ำกว่า 600 บาท
"หากภาพรวมประเทศดีขึ้น เศรษฐกิจเป็นไปในทิศทางที่ดี ธุรกิจรับสร้างบ้านจะได้รับประโยชน์จากที่เศรษฐกิจกลับมาดี ประชาชนมีกำลังจับจ่ายใช้สอย การค้าการขายกระเตื้องขึ้น จะได้เรื่องความมั่นใจทางเศรษฐกิจและการเมือง ตรงนี้ธุรกิจรับสร้างบ้านได้ ทั้งนี้ การปรับขึ้นค่าแรงนั้นเป็นไปตามกลไกตลาด เนื่องจากเป็นนโยบายของภาครัฐ ซึ่งธุรกิจต้องมีการปรับตัว และรัฐบาลใหม่ต้องมีมาตรการช่วยเหลือธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SME เช่น มาตรการทางภาษี และในอนาคต ธุรกิจหรืออุตสาหกรรมที่จะเข้ามาประเทศไทยจะมีความทันสมัยมากขึ้น มีการใช้เครื่องจักรเข้ามาทดแทนในการทำงาน และที่สำคัญแล้ว ประเทศไทยยังน่าลงทุน ได้เปรียบในเรื่องโลเกชันที่เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชีย" นายสิทธิพร กล่าว
ยอมรับ "ปรับขึ้นค่าแรง" กระทบต้นทุน
นายสิทธิพร กล่าวถึงการผลักดันนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงของทั้ง 2 พรรคนั้น เรายอมรับว่าอาจจะมีผลต่อต้นทุนการผลิตที่จะสูงขึ้น เนื่องจากนโยบายของพรรคก้าวไกล ได้หาเสียงที่จะเพิ่มค่าแรงเป็น 450 บาทต่อวันทันที และจะต้องปรับขึ้นทุกปี ขณะที่พรรคเพื่อไทย ชูนโยบายไว้แล้ว ภายในปี 2570 ค่าแรงไม่ต่ำกว่า 600 บาท
"หากภาพรวมประเทศดีขึ้น เศรษฐกิจเป็นไปในทิศทางที่ดี ธุรกิจรับสร้างบ้านจะได้รับประโยชน์จากที่เศรษฐกิจกลับมาดี ประชาชนมีกำลังจับจ่ายใช้สอย การค้าการขายกระเตื้องขึ้น จะได้เรื่องความมั่นใจทางเศรษฐกิจและการเมือง ตรงนี้ธุรกิจรับสร้างบ้านได้ ทั้งนี้ การปรับขึ้นค่าแรงนั้นเป็นไปตามกลไกตลาด เนื่องจากเป็นนโยบายของภาครัฐ ซึ่งธุรกิจต้องมีการปรับตัว และรัฐบาลใหม่ต้องมีมาตรการช่วยเหลือธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SME เช่น มาตรการทางภาษี และในอนาคต ธุรกิจหรืออุตสาหกรรมที่จะเข้ามาประเทศไทยจะมีความทันสมัยมากขึ้น มีการใช้เครื่องจักรเข้ามาทดแทนในการทำงาน และที่สำคัญแล้ว ประเทศไทยยังน่าลงทุน ได้เปรียบในเรื่องโลเกชันที่เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชีย" นายสิทธิพร กล่าว
ภาคก่อสร้างหวังสานต่อเมกะโปรเจกต์ EEC
เตรียมพร้อมรับผลกระทบเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ
นายชาคริต ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีแพนเนล จำกัด (มหาชน) (CPANEL) เปิดเผยว่า สิ่งที่ภาคธุรกิจหวังให้รัฐบาลใหม่ดำเนินการหลังจากจัดตั้งรัฐบาลใหม่ว่า 1.ให้สานต่อ Long-Term Resident Visa : LTR Visa ซึ่งจะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้ภาคเอกชนไทย และช่วยยกระดับเศรษฐกิจไทยไปสู่เศรษฐกิจใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูง
2.การส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC เนื่องจากช่วงที่ผ่านมา EEC เป็นเขตอุตสาหกรรมมีการลงทุนค่อนข้างมาก ซึ่งแผนการพัฒนา EEC ควรดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
3.พัฒนาการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีให้มากขึ้น ผลักดันให้อยู่ในหลักสูตร เพราะถือเป็นความสำคัญในการพัฒนาประเทศ เนื่องจากปัจจุบันเด็กไทย 70% เลือกเรียนสายศิลป์ ซึ่งในอนาคตอาจทำให้จำนวนบุคลากรด้านเทคโนโลยีลดน้อยลง และส่งผลให้ประเทศไทยไม่สามารถตามเทคโนโลยีได้ทัน เกิด Skills and Education Mismatching
4.เตรียมความพร้อมเรื่องผลกระทบจากนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ เนื่องจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอาจส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อในระดับสูง หรือผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับ SME หากไม่สามารถส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ โดยอุตสาหกรรมก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์จะเป็นอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก ถือเป็นเรื่องที่จะมีฝั่งที่ได้เปรียบและเสียเปรียบ จึงควรมีแนวทางในการรักษาสมดุล เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อภาพรวม
เตรียมพร้อมรับผลกระทบเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ
นายชาคริต ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีแพนเนล จำกัด (มหาชน) (CPANEL) เปิดเผยว่า สิ่งที่ภาคธุรกิจหวังให้รัฐบาลใหม่ดำเนินการหลังจากจัดตั้งรัฐบาลใหม่ว่า 1.ให้สานต่อ Long-Term Resident Visa : LTR Visa ซึ่งจะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้ภาคเอกชนไทย และช่วยยกระดับเศรษฐกิจไทยไปสู่เศรษฐกิจใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูง
2.การส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC เนื่องจากช่วงที่ผ่านมา EEC เป็นเขตอุตสาหกรรมมีการลงทุนค่อนข้างมาก ซึ่งแผนการพัฒนา EEC ควรดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
3.พัฒนาการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีให้มากขึ้น ผลักดันให้อยู่ในหลักสูตร เพราะถือเป็นความสำคัญในการพัฒนาประเทศ เนื่องจากปัจจุบันเด็กไทย 70% เลือกเรียนสายศิลป์ ซึ่งในอนาคตอาจทำให้จำนวนบุคลากรด้านเทคโนโลยีลดน้อยลง และส่งผลให้ประเทศไทยไม่สามารถตามเทคโนโลยีได้ทัน เกิด Skills and Education Mismatching
4.เตรียมความพร้อมเรื่องผลกระทบจากนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ เนื่องจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอาจส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อในระดับสูง หรือผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับ SME หากไม่สามารถส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ โดยอุตสาหกรรมก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์จะเป็นอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก ถือเป็นเรื่องที่จะมีฝั่งที่ได้เปรียบและเสียเปรียบ จึงควรมีแนวทางในการรักษาสมดุล เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อภาพรวม
อสังหาฯ เชียงใหม่เตือนรัฐต้องไม่เอื้อนายทุน-ต่างชาติ
นายปรีดิกร บูรณุปกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จํากัด (มหาชน) เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ปัจจุบันการจัดตั้งรัฐบาลยังไม่เสร็จสิ้น เราอาจจะยังไม่เห็นทิศทางที่ชัดเจน 100% แต่ผลดังกล่าวเราจะได้เห็นนักลงทุนต่างชาติมาลงทุนในภาคอสังหาฯ ในประเทศเรามากขึ้น เนื่องด้วยความเชื่อมั่นที่เพิ่มมากขึ้น ด้วยความเป็นประชาธิปไตยเต็มใบที่ชาวต่างชาติให้การยอมรับ และถ้าหากเป็นไปตามสถานการณ์
"แนวโน้มการลงทุนจากต่างประเทศน่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น และที่สำคัญเราต้องรอดูตัวนโยบายใหม่ของกระทรวงการคลังว่าจะช่วยเหลือภาคอสังหาฯ ได้อย่างไรบ้าง และทิศทางดอกเบี้ยจะเป็นอย่างไร แต่ถ้าหากสถานการณ์โดยรวมเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของผู้เลือกตั้งทิศทางต่างๆ น่าจะดีขึ้น เพราะประเทศของเรากำลังจะเป็นประชาธิปไตยเต็มใบ"
นอกจากนี้ เรื่องที่จะให้ต่างชาติเข้ามาครอบครองที่ดินนั้น แน่นอนว่าผู้ที่จะได้รับผลประโยชน์โดยตรง คือ ภาคอสังหาฯ ในการระบายสต๊อกที่เหลือขาย แต่ในขณะเดียวกันเราไม่มีทางรู้ว่านโยบายนี้จะเป็นดาบสองคมหรือไม่ เช่น การก่อให้เกิดการเเย่งชิงทรัพยากร ที่ในขณะนี้หลายประเทศประสบอยู่
ดังนั้น รัฐบาลชุดใหม่ต้องออกนโยบายมาตรการเพิ่มเติมเข้ามาควบคุม เช่น (1) มาตรการชั่วคราว 3 ปี หรือ 5 ปี ไม่ใช่นโยบายถาวร ต้องกำหนดราคาอสังหาฯ ขั้นต่ำที่ถือครองได้ เช่น ไม่ต่ำกว่า 5 ล้านบาท เพื่อไม่ให้กระทบตลาดที่พักอาศัยของประชาชนทั่วไป (2) ต้องจำกัดการถือครองในแต่ละอาคาร/โครงการ เช่น 70% ของอาคารชุด หรือ 49% ของโครงการบ้านจัดสรร และดำเนินการหากพบว่ามีการใช้นอมินีโดยเข้มงวด (3) ต้องกำหนดระยะเวลาถือครองขั้นต่ำ เพื่อลดการเก็งกำไร เช่น เมื่อซื้อแล้วต้องถือครองไม่ต่ำกว่า 5 ปี และขายต่อเปลี่ยนมือได้กับคนไทยเท่านั้น
(4) นอกจากนี้ นโยบายเร่งด่วนกว่าที่รัฐบาลควรให้ความสำคัญคือ การจัดทำนโยบายให้คนรายได้กลาง-น้อยสามารถเข้าถึงบ้านและที่อยู่อาศัยในราคาที่เข้าถึงได้ ไม่ใช่มุ่งเป้าคิดนโยบายเพื่อเอื้อประโยชน์ให้นายทุน ต่างชาติเพียงอย่างเดียว โดยหากเป็นไปตามที่ทางพรรคเคยกล่าวไว้ ผมมีความเชื่อมั่นว่าเราจะสามารถดึงนักลงทุนต่างประเทศ เเละในขณะเดียวกันยังสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ซื้อ และผู้อยู่อาศัยในประเทศเราได้
และจากนี้ไปเราคงต้องรอดูสถานการณ์การจัดตั้งรัฐบาลอย่างใจจดใจจ่อ เหมือนกับทุกภาคส่วน ณ ขณะนี้เช่นกัน หวังให้ทุกอย่างราบรื่นและตั้งรัฐบาลได้โดยเร็ว โดยมุ่งสู่เป้าหมายการขับเคลื่อนนโยบายที่เป็นผลดีต่อประเทศไทย ไม่สร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชีย เป็นต้น
ขอขอบคุณที่มา : ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 19 พ.ค. 2566
นายปรีดิกร บูรณุปกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จํากัด (มหาชน) เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ปัจจุบันการจัดตั้งรัฐบาลยังไม่เสร็จสิ้น เราอาจจะยังไม่เห็นทิศทางที่ชัดเจน 100% แต่ผลดังกล่าวเราจะได้เห็นนักลงทุนต่างชาติมาลงทุนในภาคอสังหาฯ ในประเทศเรามากขึ้น เนื่องด้วยความเชื่อมั่นที่เพิ่มมากขึ้น ด้วยความเป็นประชาธิปไตยเต็มใบที่ชาวต่างชาติให้การยอมรับ และถ้าหากเป็นไปตามสถานการณ์
"แนวโน้มการลงทุนจากต่างประเทศน่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น และที่สำคัญเราต้องรอดูตัวนโยบายใหม่ของกระทรวงการคลังว่าจะช่วยเหลือภาคอสังหาฯ ได้อย่างไรบ้าง และทิศทางดอกเบี้ยจะเป็นอย่างไร แต่ถ้าหากสถานการณ์โดยรวมเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของผู้เลือกตั้งทิศทางต่างๆ น่าจะดีขึ้น เพราะประเทศของเรากำลังจะเป็นประชาธิปไตยเต็มใบ"
นอกจากนี้ เรื่องที่จะให้ต่างชาติเข้ามาครอบครองที่ดินนั้น แน่นอนว่าผู้ที่จะได้รับผลประโยชน์โดยตรง คือ ภาคอสังหาฯ ในการระบายสต๊อกที่เหลือขาย แต่ในขณะเดียวกันเราไม่มีทางรู้ว่านโยบายนี้จะเป็นดาบสองคมหรือไม่ เช่น การก่อให้เกิดการเเย่งชิงทรัพยากร ที่ในขณะนี้หลายประเทศประสบอยู่
ดังนั้น รัฐบาลชุดใหม่ต้องออกนโยบายมาตรการเพิ่มเติมเข้ามาควบคุม เช่น (1) มาตรการชั่วคราว 3 ปี หรือ 5 ปี ไม่ใช่นโยบายถาวร ต้องกำหนดราคาอสังหาฯ ขั้นต่ำที่ถือครองได้ เช่น ไม่ต่ำกว่า 5 ล้านบาท เพื่อไม่ให้กระทบตลาดที่พักอาศัยของประชาชนทั่วไป (2) ต้องจำกัดการถือครองในแต่ละอาคาร/โครงการ เช่น 70% ของอาคารชุด หรือ 49% ของโครงการบ้านจัดสรร และดำเนินการหากพบว่ามีการใช้นอมินีโดยเข้มงวด (3) ต้องกำหนดระยะเวลาถือครองขั้นต่ำ เพื่อลดการเก็งกำไร เช่น เมื่อซื้อแล้วต้องถือครองไม่ต่ำกว่า 5 ปี และขายต่อเปลี่ยนมือได้กับคนไทยเท่านั้น
(4) นอกจากนี้ นโยบายเร่งด่วนกว่าที่รัฐบาลควรให้ความสำคัญคือ การจัดทำนโยบายให้คนรายได้กลาง-น้อยสามารถเข้าถึงบ้านและที่อยู่อาศัยในราคาที่เข้าถึงได้ ไม่ใช่มุ่งเป้าคิดนโยบายเพื่อเอื้อประโยชน์ให้นายทุน ต่างชาติเพียงอย่างเดียว โดยหากเป็นไปตามที่ทางพรรคเคยกล่าวไว้ ผมมีความเชื่อมั่นว่าเราจะสามารถดึงนักลงทุนต่างประเทศ เเละในขณะเดียวกันยังสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ซื้อ และผู้อยู่อาศัยในประเทศเราได้
และจากนี้ไปเราคงต้องรอดูสถานการณ์การจัดตั้งรัฐบาลอย่างใจจดใจจ่อ เหมือนกับทุกภาคส่วน ณ ขณะนี้เช่นกัน หวังให้ทุกอย่างราบรื่นและตั้งรัฐบาลได้โดยเร็ว โดยมุ่งสู่เป้าหมายการขับเคลื่อนนโยบายที่เป็นผลดีต่อประเทศไทย ไม่สร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชีย เป็นต้น
ขอขอบคุณที่มา : ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 19 พ.ค. 2566