ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ
  • ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ
ข่าวอสังหาริมทรัพย์
Line
04 พ.ค.2558

อสังหาฯ ไฮเอนด์โตไม่หยุดเศรษฐีไทย-ต่างชาติซื้อเก็บ/เก็งกำไรระยะยาว

Line
           ตลาดอสังหาฯ ลักชัวรี/ซูเปอร์ลักชัวรี แรงดีไม่มีตก ซีบีอาร์อี เผยโครงการที่รับบริหารงานขายไปได้ดี กลุ่มผู้ซื้อหลักคือเศรษฐีไทย ด้านกลุ่มผู้ซื้อต่างชาติแห่จับจองโครงการใจกลางเมือง เหตุมีศักยภาพ  เจแอลแอล ชี้ที่ดินแพงดันตลาดคอนโดฯ หรูพุ่ง ส่วนนารายณ์ พร็อพเพอร์ตี้ แตกไลน์บริษัทลูก นายณ์ เอสเตท เจาะตลาดบน
           นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบี ริชาร์ด เอลลิส (ประเทศไทย) จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการเป็นที่ปรึกษาในตลาดอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า จากการรับบริหารงานขายโครงการที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรีและซูเปอร์ลักชัวรีที่เปิดขายใหม่และโครงการเก่ารวมจำนวน 4-5 โครงการ พบว่า มีอัตราการขายที่ดีอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการเดอะ ดิโพลแมท 39 ระดับราคาขายเฉลี่ย 2.8 แสนบาทต่อตร.ม. ที่เปิดขายเมื่อต้นปี 2558 ปัจจุบันมียอดขาย 80% 

  3301         สำหรับกลุ่มลูกค้าหลักยังคงเป็นคนไทยในสัดส่วน 85% ขณะที่สัดส่วนของกลุ่มลูกค้าต่างชาติอยู่ที่ 15% และส่วนใหญ่ได้จากการออกโรดโชว์ต่างประเทศ ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้มีความต้องการที่อยู่อาศัยย่านใจกลางเมืองจำนวนมาก ดูได้จากการนำโครงการแมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟรอนท์ เรสซิเดนซ์ และโครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด จัดโรดโชว์ที่ประเทศฮ่องกงเพียง 2 วันสามารถทำยอดขายรวมได้กว่า 600 ล้านบาท ด้วยเหตุผลที่ว่าราคาที่ดินในย่านกลางเมืองของฮ่องกงมีราคาสูงมากเมื่อเทียบกับประเทศไทย ทำให้กลุ่มลูกค้าต่างชาติเหล่านี้มองว่าประเทศไทยมีศักยภาพอย่างมากในการเติบโต ทั้งนี้ ความต้องการซื้อของลูกค้านั้นมีทั้งซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงและซื้อเพื่อการลงทุนระยะยาวในสัดส่วน 50:50 

             "ที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรีและซูเปอร์ลักชัวรียังคงมีแนวโน้มที่ดี เนื่องจากราคาที่ดินในปัจจุบันมีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับจำนวนสินค้าที่เข้าสู่ตลาดมีไม่มากเฉลี่ยเพียง 2-3 โครงการ ส่งผลให้สินค้าคงเหลือในตลาดมีไม่มาก แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าโครงการระดับลักชัวรีและซูเปอร์ลักชัวรีทุกโครงการจะได้รับการตอบรับ เพราะกลุ่มผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนไปเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เป็นลูกหลานของคนมีรายได้สูง ซึ่งต้องการอยู่คอนโดมิเนียมที่มีขนาดใหญ่ ในขณะที่กลุ่มที่เป็นกลุ่มผู้ใหญ่ซึ่งเติบโตมาจากกลุ่มคนรุ่นใหม่มองหาที่อยู่อาศัยที่เป็นบ้านขนาดใหญ่มากขึ้น"
            สอดคล้องกับ นางสุพินท์ มีชูชีพ กรรมการผู้จัดการ เจแอลแอล (โจนส์ แลง ลาซาลล์) ที่กล่าวว่า ราคาขายของคอนโดมิเนียมกลุ่มไฮเอนด์ในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะในย่านศูนย์กลางธุรกิจหลักๆ ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสหรือรถไฟใต้ดินเอ็มอาร์ทียังคงปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง และมีแนวโน้มจะปรับตัวสูงขึ้นต่อไปอีก เนื่องจากการพัฒนาโครงการใหม่ๆ มีต้นทุนสูงขึ้น แม้ต้นทุนค่าก่อสร้างจะค่อนข้างคงที่ แต่ราคาที่ดินที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นแถมทำเลที่ดีหาได้ยากขึ้น จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ยังคงมีกลุ่มคนที่มีฐานะต้องการซื้อคอนโดมิเนียมหรูในทำเลชั้นดีเก็บไว้ โดยคาดหวังว่า มูลค่าของคอนโดฯที่ซื้อไว้จะปรับเพิ่มสูงขึ้นได้ในระยะยาว แต่ในขณะเดียวกัน ก็เกิดคำถามเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า ผู้ซื้อจะสู้ราคาที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นไปได้อีกมากน้อยเพียงใด" 
           ด้าน นางอรฤดี ณ ระนอง กรรมการบริหาร บริษัท นารายณ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด และประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท นายณ์เอสเตท จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทนารายณ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดขายโครงการ พาร์คพรีว่า บ้านเดี่ยว 3 ชั้นระดับไฮเอนด์ ระดับราคา 34-60 ล้านบาท บนถนนรัชดาภิเษก-พระราม 9 ผลปรากฏว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 80% ทำให้บริษัทมองเห็นช่องว่างทางการตลาดของสินค้าระดับบนที่ยังคงมีความต้องการอยู่มาก ส่งผลให้บริษัทมีแผนที่จะรุกตลาดนี้อย่างจริงจัง
           "จากเดิมที่บริษัท นารายณ์พร็อพเพอร์ตี้ฯ เน้นกลุ่มลูกค้าระดับกลางด้วยจุดขายโครงการคุณภาพในราคาจับต้องได้นั้น ทางบริษัทได้มองเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจไปสู่ตลาดไฮเอนด์ที่เน้นลักชัวรีและความเอ็กซ์คลูซีฟ จึงได้เปิดสายธุรกิจใหม่ในนามบริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต่อยอดการดำเนินการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ระดับบน และเน้นความคล่องตัวในการสร้างสรรค์โอกาสและโครงการใหม่ๆโดยมีทุนจดทะเบียน 1.3 พันล้านบาท พัฒนาโครงการที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในทั้งด้านดีไซน์นำตลาดและทำเลที่ตั้งโครงการใจกลางเมือง เพื่อนำเสนอลูกค้าที่มีความต้องการโปรดักต์ที่มีความพิเศษแตกต่างจากคู่แข่งในตลาด" 
 
ที่มา : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ
( วันที่  30  เมษายน 2558 )