ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ
  • ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ
ข่าวอสังหาริมทรัพย์
Line
19 ม.ค.2559

วัสดุก่อสร้างทะลักเมียนมา 3 ด่านชายแดนยอดพุ่งรับเมืองขยายตัวหลังเปิดเออีซี

Line

3 ด่านชายแดนไทย-เมียนมาคึกคัก เมียนมาสั่งซื้อสินค้าวัสดุก่อสร้างและเครื่องจักรที่ใช้ในการก่อสร้างจากไทยเพิ่มหลังเปิดเออีซี รับการก่อสร้างที่ขยายตัวมากขึ้น ทั้งการก่อสร้างโรงแรม อาคารพาณิชย์ รวมถึงระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน ด้านระนอง-เกาะสอง คาดปีนี้เพิ่มขึ้นเท่าตัว แม่สอด-เมียวดี ชี้เพิ่มขึ้นแล้ว 30% เฉลี่ยวันละ 100-150 ล้าน ขณะที่แม่สาย-ท่าขี้เหล็กเกิดปรากฏการณ์สินค้าไทยทะลักเข้าเมียนมา

นายขิ่นวิน อดีตประธานหอการค้าจังหวัดเกาะสอง ประเทศเมียนมา เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า หลังการเปิดเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(เออีซี)ปรากฏว่า มีการขยายตัวด้านการค้า การลงทุนคึกคักมากขึ้นในฝั่งประเทศเมียนมา มีนักลงทุน ผู้ประกอบการจากหลายชาติเข้าไปมาลงทุน ส่งผลให้เกิดโครงการก่อสร้างต่างๆ เพื่อรองรับการขยายตัวทางการค้า การลงทุนที่เพิ่มขึ้น ทั้งโรงแรม อาคารพานิชย์ต่างๆ นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของทางการเมียนมา ทั้งระบบประปา ไฟฟ้า ถนน ทำให้ขณะนี้ต้องมีการนำวัตถุดิบประเภทก่อสร้าง ทั้งปูนซีเมนต์ เหล็กเส้น จากประเทศไทยเข้าไปรองรับการขยายตัวของโครงการก่อสร้างต่างๆ คาดว่าในปีนี้จะต้องนำเข้าสินค้ากลุ่มสินค้าวัสดุก่อสร้างเพิ่มกว่าเท่าตัว

นายนิตย์ อุ่ยเต็กเค่ง ที่ปรึกษาคณะกรรมการหอการค้าจังหวัดระนอง เปิดเผยถึงสถานการณ์การค้าชายแดนไทย-เมียนมาในช่วงปี 2558 ที่ผ่านมาว่า อยู่ในสภาวะที่ดีมาก สินค้าในหลายกลุ่มมีอัตราการขยายตัวสูง โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มอาหาร สินค้าประเภทอุปโภคบริโภค รวมถึงสินค้าในหมวดก่อสร้างมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่า 30% ส่วนแนวโน้มในช่วงปี 2559 คาดว่าน่าจะมีอัตราการขยายตัวสูงกว่าเท่าตัวในทุกกลุ่มสินค้า ทั้งอุปโภคบริโภค รวมถึงสินค้าหมวดวัสดุก่อสร้าง และน้ำมันเหตุจากการเปิดเข้าสู่เข้าสู่เออีซี ทำให้การเดินทางเข้าออกทำได้ง่ายขึ้น รวมทั้งการส่งออก นำเข้า ที่มีการลดกำแพงภาษีและเงื่อนไขต่างๆ ที่ทำให้เอื้อต่อการขยายตัวสูง รวมถึงความต้องการในประเมทศเมียนมามีมากขึ้น

“สิ่งที่ทางผู้ประกอบการค้าชายแดนมีความเป็นห่วงมากในขณะนี้ ซึ่งอาจจะเกี่ยวเนื่องกับบรรยากาศการค้าชายแดน คือ ความสัมพันธ์ของไทยกับเมียนมา หากเรามีปัญหา ก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้สินค้าจากประเทศคู่แข่งโดยเฉพาะจากจีน มาเลเซีย และสิงคโปร์เข้าไปเบียดแย่งตลาดของไทย โดยเฉพาะในเมียนมาปัจจุบันนี้สัดส่วนของตัวเลขการค้าสินค้าของไทยครองตลาดได้เพียง 30% เท่านั้น ตลาดส่วนใหญ่กว่า 60% เป็นของจีน ซึ่งรัฐบาลไทย รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยควรจะเร่งหาช่องทางการขยายตลาดการค้า รวมถึงการลงทุนในเมียนมาให้มากขึ้น ในลักษณะรัฐบาลนำ เอกชนตาม ไม่ใช่เอกชนนำและรัฐบาลตามเช่นปัจจุบัน รัฐบาลควรที่จะกรุยทางน่าจะดีกว่า”

ผู้สื่อข่าว “ฐานเศรษฐกิจ” รายงานจากบริเวณด่านศุลกากรแม่สอด-เมียวดี เชิงสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา ข้ามแม่น้ำเมย แห่งที่ 1. อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก กับจังหวัดเมียวดี ประเทศเมียนมาว่า มีรถบรรทุกสินค้าจำนวนมาก โดยเฉพาะรถบรรทุกสินค้าประเภทวัสดุก่อสร้าง เครื่องจักรต่างๆไปจอดรอทำพิธีการทางศุลกากร สินค้าที่พ่อค้าและนักธุรกิจชาวเมียนมาเริ่มมีการสั่งซื้อเพื่อนำข้ามฝั่งเพิ่มมากขึ้น คือ สินค้าวัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์ก่อสร้าง เครื่องจักรที่จะใช้ในการก่อสร้าง โดยนับแต่ต้นปี 2559 ชาวเมียนมา มีการซื้อวัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์เพื่อเข้าไปก่อสร้างบ้านเรือนและการก่อสร้างโครงการต่างๆ ที่ขยายตัวตามการขยายตัวของเมืองมากขึ้น

นายกิตติ สุทธิสัมพันธ์ นายด่านศุลกากรแม่สอด จังหวัดตาก กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศเมียนมา มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมาก ในปีที่ผ่านมาจีดีพีเติบโต 7.8% ส่งผลต่อรายได้ของประชาชนชาวเมียนมาเพิ่มมากขึ้น ทำให้มีการก่อสร้างบ้านเรือนเพิ่มมากขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้มีความต้องการสินค้าด้านวัสดุก่อสร้างเพิ่มขึ้น

พ่อค้ารายหนึ่งที่ประกอบธุรกิจขายวัสดุก่อสร้าง ในพื้นที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก กล่าวว่าร้านค้าวัสดุก่อสร้างทั้งรายเล็ก รายย่อย รายใหญ่ และห้างร้านที่ค้าขายธุรกิจก่อสร้างและอุปกรณ์ก่อสร้าง มียอดขายสินค้าไปเมียนมา ผ่านด่านแม่สอด-เมียวดีเพิ่มสูงขึ้นไม่น้อยกว่า 30% ต่อวัน ทั้งรายเล็ก-รายใหญ่ จำหน่ายได้ดี มูลค่าการค้าวัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์ตกแต่ง บ้านเรือน-อาคารพาณิชย์และสำนักงาน มีมากกว่าวันละ 100 -150 ล้านบาท ต่อวัน ซึ่งถือว่าสูงมากกว่าปกติกับช่วงที่ผ่านมา และมีแนวโน้มขายตัวเพิ่มขึ้นอีก

ด้านนายบุญธรรม ทิพย์ประสงค์ ที่ปรึกษาประธานหอการค้าจังหวัดเชียงราย ผู้ประกอบการที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เปิดเผยถึงสถานการณ์ที่มีสินค้าไทยส่งเข้าไปประเทศเมียนมาผ่านด่านศุลกากรแม่สายจำนวนมาก เนื่องจากช่วงที่ผ่านมา ทางการเมียนมาได้มีการเข้มงวดในการตรวจตราสินค้านำเข้าจากประเทศไทย โดยมีการจัดตั้งชุดเฉพาะกิจการค้าที่เรียกกันว่า โมบายทีม(Mobile Team) มาประจำจุดตรวจสินค้าตามเส้นทางต่างๆ จนทำให้การค้าพลอยชะงักงัน เนื่องจากผู้ประกอบการในเมียนมาไม่กล้าเสี่ยงที่จะสั่งสินค้าเข้าไป

การเข้ามาในพื้นที่จังหวัดท่าขี้เหล็กของโมบายทีม ทำให้มีสินค้าเข้าไปน้อย จนเกิดภาวะที่เรียกกันว่า ไม่เพียงพอกับความต้องการ หลังจากภาคเอกชนของไทยและเมียนมา ได้ร่วมกันหารือกับทางการเมียนมา ทำให้สถานการณ์คลี่คลายขึ้น ตั้งแต่ประมาณช่วงปลายปีที่ผ่านมา จึงทำให้มีสินค้าทุกชนิดเข้าไปในเมียนมามากขึ้นในช่วงนี้ ซึ่งหากเปรียบเทียบกับช่วงกลางปี หรือช่วงเดียวกันของปีก่อนก็จะดูว่าเพิ่มขึ้นมากเป็นเท่าตัว

“ต้องยอมรับว่าภายในเมียนมา ยังคงต้องการมีการพัฒนามากขึ้น มีการก่อสร้างพัฒนาบ้านเรือน อาคารพาณิชย์ และโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆอีกมาก จึงจำเป็นต้องใช้สินค้าประเภทวัสดุก่อสร้างจากประเทศไทย ซึ่งให้ความมั่นใจในเรื่องคุณภาพได้มากกว่า ช่วงที่ไม่มีการส่งออก ทำให้มีความต้องการมาก เมื่อสามารถนำเข้าได้สะดวก จึงเกิดการทะลักเข้าไปอย่างเต็มที่ เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการ แต่คิดว่าน่าจะเป็นไปในระยะสั้นๆมากกว่า” นายบุญธรรม ระบุ
 
ที่มา : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,123
( วันที่ 17 – 20 มกราคม พ.ศ. 2559 )