ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ
  • ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ
ข่าวอสังหาริมทรัพย์
Line
12 ก.พ.2559

สมคิดเร่งเขตศก.พิเศษดันไทยประตูค้าอาเซียน

Line
"สมคิด" เปิดแผนพัฒนา 10 เขตเศรษฐกิจพิเศษ ระบุเป็นยุทธศาสตร์ดันไทย "ศูนย์กลาง" การค้าในภูมิภาคอาเซียน หวังผนึกกำลังประเทศเพื่อนบ้าน เพิ่มขีดแข่งขัน ขณะที่เอกชนจี้รัฐเจรจาทวิภาคีประเทศเพื่อนบ้าน บูรณาการการค้าชายแดน 2 ประเทศ

เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ เปิดเผยในการสัมมนา "ยุทธศาสตร์ประเทศไทย 2016 : โอกาสทองสู่ AEC" จัดโดยเนชั่นทีวี ว่า เป้าหมายของการตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนทั้ง 10 แห่งเพื่อรองรับอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานสูงจากประเทศเพื่อนบ้าน และรองรับธุรกิจที่ยังไม่พร้อมในการออกไปลงทุนในอาเซียน โดยในแต่ละพื้นที่จะผลิตสินค้าตามความถนัดและศักยภาพของพื้นที่ เพื่อป้อนให้ประเทศเพื่อนบ้านที่ติดกับชายแดน โดยใช้ความได้เปรียบของไทยที่มีภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลต่อการพัฒนาประเทศค่อนข้างมาก ในการเป็นประตูให้แก่ประเทศต่างๆ เข้ามาลงทุน หรือใช้ไทยเป็นเกตเวย์ส่งสินค้าเข้ามายังอาเซียน ซึ่งจากการหารือกับผู้นำประเทศต่างๆ ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นอิหร่าน โอมาน หรืออินเดีย ต่างก็มุ่งที่จะเข้ามาลงทุนในไทยใช้เป็นประตูเข้าสู่อาเซียน โดยในปัจจุบันอาเซียนเป็นภูมิภาคที่มีความสำคัญสูงมากของโลก เป็นแหล่งผลิตในซัพพลายเชนอุตสาหกรรมต่างๆ ส่งไปขายทุกภูมิภาค

หนุนผนึกภูมิภาคเพิ่มขีดแข่งขัน

ทั้งนี้ การแข่งขันในปัจจุบันประเทศเดี่ยวๆ ไม่สามารถจะแข่งขันกันได้ ต้องผนึกกำลังร่วมกันเป็นภูมิภาค โดยในเบื้องต้นไทยจะต้องผนึกความแข็งแกร่งในกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวีที (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม และไทย) ที่มีประชากรรวมกันกว่า 200 ล้านคน ให้เป็นหนึ่งเดียว จากนั้นขยายวงไปสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เชื่อมโยงซัพพลายเชนให้เกิดประโยชน์กับทุกประเทศซึ่งจะแตกคอกันไม่ได้ จากนั้นก็จะขยายไปสู่อาเซียนบวก 3 บวก 6 ดังนั้น เมื่ออาเซียนมีความสำคัญ และมีประตูหลายบาน ต่างชาติจะเข้ามาประตูไหนก็ได้ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม เมียนมาร์ มาเลเซีย หรือไทย จึงอยู่ที่การแข่งขันว่าใครจะดึงดูดต่างชาติให้เข้ามาในประตูของตัวเองได้มากกว่ากัน ซึ่งการแข่งขันนี้จะเกิดประโยชน์โดยรวมกับอาเซียน เป็นการแข่งขันที่กระจายความเจริญไปยังอาเซียนทั้งหมด

"ประเทศไทยเชิญสภาพัฒน์ของประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม และไทย มาร่วมประชุมเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อให้อาเซียนพัฒนาไปในทิศทางเดียวกันและเกิดการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ต่างๆ ซึ่งหากต่างคนต่างทำก็จะขาดการประสานงานจนเกิดอุปสรรคต่อการพัฒนาของสมาชิกอาเซียน โดยคาดว่าจะมีการประชุมร่วมกันในช่วงกลางปีนี้" นายสมคิด กล่าว

เร่งมหาดไทยเบิกจ่ายงบ"ชุมชน"

นายสมคิดยังกล่าวว่า ปีนี้เศรษฐกิจโลกผันผวนมากเพราะเศรษฐกิจสหรัฐที่มีแนวโน้มที่จะดีกลับปรับตัวแย่ลง ทำให้ทุกประเทศเศรษฐกิจลดลงหมด และทุกประเทศต่างก็หันไปพึ่งพาตลาดภายในประเทศมากขึ้น ดังนั้นไทยจะต้องปรับสมดุลทางเศรษฐกิจลดการพึ่งพาการส่งออกหันมาขยายกำลังซื้อภายในประเทศเพิ่มขึ้น โดยจะพยายามรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ให้ได้ตามเป้าหมาย 3.5% ซึ่งจะโตจากปี 2558 ที่ขยายตัว 2.9% โดยแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปีนี้ คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะมีการอัดฉีดงบลงทุนโครงการขนาดใหญ่ออกมาประมาณ 6 หมื่นถึง 1 แสนล้านบาท แต่ทั้งนี้ในช่วง 2 ไตรมาสแรกจะต้องดูแลเป็นพิเศษ ซึ่งจะเร่งผลักดันให้กระทรวงมหาดไทยเบิกจ่ายงบประมาณ 3 หมื่นล้านบาทเข้าสู่ชุมชน ในเดือนนี้จะออกมาอีก 1.5 หมื่นล้านบาท และในเดือนมีนาคมจะผลักดันให้ออกมาทั้งหมด

นอกจากนี้ จะมีโครงการประชารัฐจำนวน 3.5 หมื่นล้านบาท อุดหนุนหมู่บ้านละ 5 แสนบาท เพื่อใช้ในโครงการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานในชนบท ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ไทยมีโครงการแบบนี้ออกมา เนื่องจากที่ผ่านมาเกษตรกรขาดกำลังต่อรองราคาพืชผลการเกษตรและต้องพึ่งพาโครงการจำนำข้าวเพียงอย่างเดียว เพราะไม่มีโครงสร้างพื้นฐานรองรับ เช่น ไม่มีลานตากข้าว ไม่มียุ้งฉางเก็บข้าว รวมทั้งจะส่งเสริมให้เกิดการแปรรูปผลผลิตเบื้องต้น โรงสีข้าวโรงอบข้าวขนาดเล็ก เพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้าเกษตร ตลอดจนการจัดทำแหล่งน้ำ รวมตัวกันใช้เครื่องจักรการเกษตรสมัยใหม่เพื่อลดต้นทุน เป็นต้น ซึ่งโครงการเหล่านี้จะต้องกระจายไปทั่วประเทศ โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานเปิดโครงการในวันที่ 19 กุมภาพันธ์นี้ มั่นใจว่าโครงการนี้จะช่วยสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็งและจะทำให้การบริโภคภายในเข้มแข็งตามไปด้วย

ส่วนการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกร จะส่งเสริมให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนจากการปลูกพืชชนิดเดียวเป็นการปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ผสมผสานหลายประเภท เพื่อลดความเสี่ยงจากการปลูกพืชเพียงตัวเดียว และเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะเข้ามาอุดหนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำมาก อย่างไรก็ตามการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเกษตรกรไปสู่การผลิตในพืชตัวอื่นเป็นเรื่องยาก เพราะการปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ชนิดใหม่จะไม่มีความถนัดทำให้ไม่กล้าเสี่ยงในการลองสิ่งใหม่ๆ ดังนั้น รัฐบาลจึงได้ทำโครงการ 1 ตำบล 1 เอสเอ็มอีเกษตรอุตสาหกรรม โดยจะคัดเลือกเกษตรกรในทุกหมู่บ้านที่เป็นเกษตรกรแนวใหม่ที่เป็นสมาร์ทฟาร์มเมอร์ที่ทำการเกษตรหลากหลาย จากนั้นจะส่งเสริมให้ก้าวไปสู่การเป็นเอสเอ็มอีเกษตรอุตสาหกรรมในทุกตำบล ซึ่งจะเกิดเอสเอ็มอีรายเล็กๆ ในการแปรรูปการเกษตร การทำแพ็กเกจจิ้ง การทำตลาด ทั่วประเทศกว่า 7,000 แห่ง โดยโครงการนี้จะเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในเร็วๆ นี้

เอกชนจี้รัฐเจรจาทวิภาคีเพื่อนบ้าน

          นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ในการขยายการค้าชายแดน อยากให้รัฐบาลเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านให้เกิดการบูรณาการทำงานของด่านการค้าชายแดนของทั้ง 2 ฝั่งประเทศ โดยอาจจะยุบรวมเหลือด่านเดียวหรือปรับปรุงระเบียบขั้นตอนการทำงานให้เหมือนกันเพื่อให้การส่งสินค้าผ่านแดนสะดวกรวดเร็วขึ้น จากในปัจจุบันที่ต้องเสียเวลามาก เพราะกฎกติกาของ 2 ประเทศต่างกัน

นายนิยม ไวยรัชพานิช รองประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การที่รัฐบาลเปิดเขตเศรษฐกิจพิเศษและการสร้างถนนเชื่อมโยงพื้นที่สู่ชายแดนก็เป็นสิ่งที่ภาคเอกชนพอใจ ซึ่งบวกกับภูมิศาสตร์ที่ดีของประเทศไทยก็จะช่วยเพิ่มปริมาณการค้าชายแดนได้อีกมหาศาล นับได้ว่าเป็นโอกาสทองของภาคเอกชนที่ต้องเร่งเข้าไปลงทุนในพื้นที่เหล่านี้

อย่างไรก็ตาม อยากให้ภาครัฐเปิดให้ประชาชนจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาในประเทศไทยได้ตามข้อตกลงทวิภาคีที่ได้ลงนามไว้กับประเทศเพื่อนบ้าน ที่จะเปิดให้ประชาชนจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาในไทยได้ตามที่กำหนดไว้ให้บุคคลที่อยู่ในพื้นที่ติดชายแดนจะเข้ามาในไทยได้ไม่เกิน 14 วัน และประชาชนทั่วไปเข้ามาในไทยได้ไม่เกิน 7 วัน จากในปัจจุบันที่ไทยกำหนดให้เช้าไปเย็นกลับ

นอกจากนี้ ควรส่งเสริมให้เกิดการค้าผ่านแดน ซึ่งจะทำให้ไทยขยายการค้าไปสู่ประเทศจีนตอนใต้ อินเดีย และเวียดนามได้มากขึ้น โดยที่ผ่านมา สปป.ลาว และกัมพูชา ต่างก็ได้ลงนามกับเวียดนามไปแล้ว ซึ่งหากไทยไม่เร่งเจรจาแก้ปัญหาการค้าผ่านแดน ก็จะทำให้สินค้าจากเวียดนามทะลักเข้ามายังไทยได้อย่างเต็มที่

ด้าน นายวิเชฐ ตันติวานิช ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เขตเศรษฐกิจพิเศษมีความสำคัญกับการเป็นประตูไปสู่อาเซียน ซึ่งไทยเบฟฯ ได้ก้าวเข้าไปลงทุนมานานหลายปีแล้ว โดยตลาดดังกล่าวจะไม่ใช่มีจำนวนประชากรเพียง 600 ล้านคน เพราะหากมองรวมไปถึงจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวจะมีเพิ่มขึ้นมามากถึง 700-800 ล้านคน ส่วนการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วง 5 ปีจากนี้จะขยายตัวเพิ่มอีก 50-100% จึงถือเป็นโอกาสทองของการทำธุรกิจที่ภาคเอกชนต้องมองให้เห็นเป็นโอกาสของการเข้าไปทำธุรกิจที่มีอยู่อย่างหลากหลายด้วย รวมทั้งตลาดสินค้าฮาลาล โดยจะใช้บริษัท F&N ในมาเลเซีย ที่มีจุดจำหน่ายสินค้าหลายหมื่นจุดบุกตลาดเครื่องดื่มฮาลาล

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจรายใหญ่พร้อมที่จะช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอยู่แล้ว แต่ทั้งนี้ภาครัฐควรจะเข้ามาสนับสนุนผู้ประกอบการายใหญ่เหล่านี้ด้วย เพื่อให้เกิดการทำงานร่วมกันระหว่างรัฐและเอกชน รวมทั้งยังเป็นแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการรายใหญ่เข้ามาช่วยเหลือรายย่อยมากขึ้น
 

ที่มา : หนังสือพิมพ์คม ชัด ลึก
( วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2559 )