คุณเพ็ญประภา บียอร์กวิค
แบบบ้าน แบบพิเศษ (ME-125)

คุณค่าแท้จริงของสิ่งที่เรียกว่า “บ้าน”

Line

ภาพนี้ถูกบันทึกและเผยแพร่ ก่อนวันที่ 1 มิ.ย. 2565
 

         เราอยากให้ท่านผู้อ่านลองนึกภาพสิ่งปลูกสร้างที่หน้าตาเหมือนกับบ้านที่ท่านกำลังอาศัยอยู่ทุกประการ ในสภาพที่ไม่มีใครอาศัยอยู่และไม่เคยมีใครอาศัยอยู่มาก่อนเลย แล้วลองถามกับตัวเองว่าท่านจะยังคงเรียกสิ่งปลูกสร้างนั้นว่า “บ้าน” อยู่หรือไม่  ก่อนที่จะคิดคำตอบใดๆ เราอยากให้ท่านได้รับรู้เรื่องราวของ คุณแม่พูนผล และคุณพ่อสมศักดิ์ ฝ่ายคุณวงศ์ หรือ แม่ติ๋ว กับพ่อศักดิ์ ซึ่งอาศัยอยู่ร่วมกับน้องบิวหลานสาววัย 17 ปี รวม 3 คนเท่านั้น ในบ้านหรูขนาดคฤหาสน์ที่สามารถรองรับครอบครัวขนาดใหญ่ได้ทั้งครอบครัวหลังนี้  แม่ติ๋วผู้ซึ่งอดีตรับราชการครูแต่เกษียณออกมาก่อนเวลา ปัจจุบันมีอาชีพหลักเป็นแม่บ้านและอาชีพเสริมเป็นเกษตรกร ได้เล่าถึงที่มาที่ไปของบ้านหลังนี้ให้เราฟังครับ “เขาก็ตั้งใจสร้างไว้อยู่เองนั่นแหละ แต่พอลูกชายคนเล็กเริ่มโตก็เปลี่ยนใจไปซื้อคอนโดอยู่ที่กรุงเทพฯ เพราะอยากให้ลูกเรียนหนังสือที่นู่น ก็เลยย้ายสำเนาทะเบียนบ้านไปอยู่นู่นด้วยเลย”  แม่ติ๋วกำลังหมายถึงลูกสาวของเธอ คุณเพ็ญประภา บียอร์กวิค หรือ คุณจ๋า ซึ่งแต่งานใหม่กับ คุณสติ๊ค บียอร์กวิค สามีชาวนอร์เวย์วัยไล่เลี่ยกับแม่ติ๋วผู้ซึ่งเกษียณจากงานก่อนเวลาเช่นกัน ปัจจุบันทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทที่เขาเคยทำงานและยังคงถือหุ้นอยู่  ทั้งคู่มีลูกชายด้วยกันหนึ่งคนก็คือ น้องอเล็กซ์ ที่กำลังจะอายุครบ 5 ขวบในเดือนเมษายนี่จะถึงนี้

          “ตอนที่ยังอยู่นี่แกก็เห่อลูก ซื้อของเล่นของอะไรเต็มบ้าน ยิ่งที่กรุงเทพยิ่งเยอะกว่านี้อีก พวกเกม พวกตัวต่อ ของเล่นฝึกสมอง พอกลับมานี่จะไปตลาด บิ๊กซี โลตัส มันก็ไปเดินหาของเล่นอีก พอย้ายกันไปอยู่กรุงเทพบางทีก็คิดถึงหลาน มันกำลังคุยเก่ง เดี๋ยวนี้มันพูดภาษาอังกฤษเก่งนะ ตอนมันอยู่กับพ่อหรือไปโรงเรียนมันก็พูดภาษาอังกฤษ คุยกับเรามันก็เลยพูดภาษาอังกฤษ  อาทิตย์ที่แล้วนี้ก็เพิ่งกลับมา อยู่ได้อาทิตย์นึงพอดีก็กลับไป จะกลับมาช่วงวันหยุดเทศกาล เข้าพรรษา สงกรานต์ ปีใหม่ นี่แหละ แต่ก็คุยโทรศัพท์กันประจำ”  แม่ติ๋ว ผู้ซึ่ง ณ ปัจจุบันคือเจ้าของบ้านตัวจริงเล่าให้เราฟังถึงความผูกพันที่ครอบครัวของคุณจ๋าเคยมีต่อบ้านที่พวกเขาสร้างขึ้นมาหลังนี้
 

             การจะสร้างบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ทั้งสำหรับผู้รับจ้างและเจ้าของบ้านเอง แต่สิ่งที่แม่ติ๋วบอกกับเราถึงความรู้สึกจากการได้สร้างบ้านกับพีดีเฮาส์ เป็นสิ่งที่ไม่ว่าผู้รับจ้างคนไหนได้ยินก็คงต้องปลื้มอกปลื้มใจครับ  “ตอนสร้างเสร็จใหม่ๆ ขึ้นบ้านใหม่ ทำบุญปีละครั้ง สามปีติด ก็เชิญพวกครูมา เขาก็ขอชมหน่อยบ้านสวย ลูกเต้าเขาเป็นตำรวจอยากจะสร้างบ้าน ก็พากันแนะนำมาดู มีครูอีกคนเขาก็อยากสร้างบ้านเหมือนกัน แต่สร้างหลังขนาดนี้ไม่ไหว ก็เลยบอกเขาว่าหลังไม่แพงก็มี มีเงิน 2-3 ล้านก็สร้างได้  คนอื่นเราก็แนะนำ มีญาติที่เขาได้ลูกเขยฝรั่งที่เอาแบบบ้านมาจากออสเตรเลีย ก็ใช้ช่างตามบ้าน ให้พี่น้องเขาหาให้ เราก็บอกแม่เขาว่าทำไมไม่สร้างกับพีดีเฮาส์ แบบบ้านก็มีหลายแบบ หลายราคา ก็เลือกเอา แล้วเขาก็ดูแลให้เรา เครื่องไม้เครื่องมือก็พร้อม แต่เขาก็เชื่อญาติเขา ทำเสร็จแล้วเจ้าของกลับมาดูก็ไม่ถูกใจ อ่านแบบก็ไม่ถูก เจ้าของบ้านก็หลานเรานี่แหละ มันเห็นแล้วก็ร้องไห้ร้องห่ม จะทุบก็ไม่ได้ จะแก้ก็ไม่ได้”



  

  





  

  
 

        สำหรับประสบการณ์เกี่ยวกับการสร้างบ้านหลังนี้ ตั้งแต่ก่อนสร้างจนถึงสร้างเสร็จก็มีเรื่องราวที่น่าสนใจเช่นกัน ลองให้แม่ติ๋วได้เล่าให้ฟังครับ  “เรื่องรูปแบบก็แล้วแต่เขากับแฟนเขาเลย สติ๊ค แกก็เป็นคนดูแบบบ้านจากซีดีแล้วก็เลือก จะมีกี่ห้องนอน ห้องน้ำ เพราะทีแรกเขาก็นึกว่าจะอยู่ที่นี่เลยถึงได้สร้างหลังใหญ่ เผื่อพี่น้องหรือญาติเขามาจากเมืองนอกก็จะได้รองรับ ตอนที่สร้างบ้านหลังเก่าก็ยังอยู่ข้างหน้านี้ ยังไม่ได้ย้าย เป็นบ้านไม้สองชั้น หลังนี้เสร็จเรียบร้อยแล้วถึงค่อยขาย แคมป์คนงานก็อยู่ใกล้ๆ นั่นแหละ ตอนที่สร้างก็คอยมาดูอยู่ ตรงไหนยังไม่ถูกใจเราก็บอกเขา สร้างเสร็จแล้วก็ถูกใจอยู่ ไม่เคยมีบ้านหลังใหญ่กับเขา แต่มันเหนื่อยหน่อยตอนเราทำความสะอาด (หัวเราะ) เมื่อก่อนเขาอยู่เขาจ้างแม่บ้านไง แต่พอเขาไม่อยู่แล้ว แม่ก็ออกมาแล้วไม่ได้สอนหนังสือแล้ว ไม่มีงานทำก็เลยทำงานบ้านแทน แต่ดูแลสวนนี่ยังต้องจ้างเขาอยู่ ตาศักดิ์แกก็ทำบ้าง เหนื่อยแกก็มานอนดูหนัง ถ้าวันไหนทำก็ตื่นตั้งแต่ตีห้า หกโมง ทำข้างบนเสร็จก็ลงมาข้างล่าง จ้างแม่บ้านเดือนหนึ่งตั้งหกเจ็ดพัน ทำแล้วก็ไม่ถูกใจเรา เราไม่มีงานทำก็ทำของเราเองได้ มองไปเห็นตรงไหนมันไม่ดีเราก็จัดการ อยากทำก็ทำ เหนื่อยก็ไม่ทำ ไม่มีใครมาบังคับ (หัวเราะ)  แต่พูดถึงบ้านปูนกับบ้านไม้ บ้านไม้จะทำความสะอาดยากกว่านะ มันเป็นร่อง อย่างบ้านปูนถ้ามีรอยเปื้อนเราเอาผ้าชุบน้ำ ถูๆ มันก็ออก”  

          เรื่องราวของบ้านหลังนี้อาจจะดูแปลกไปสักหน่อยตรงที่ไม่ได้เล่าจากปากของเจ้าของบ้าน (อย่างเป็นทางการ) โดยตรง เราอาจจะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาถึงเลือกจะสร้างบ้านหน้าตาแบบนี้ ตกแต่งแบบนี้ แต่เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ อาจจะทำให้ท่านพอนึกได้ว่า สิ่งปลูกสร้างใดๆ ก็ตาม จะมีความหมายพอทีจะเรียกว่า บ้าน ของใครสักคนได้ จำเป็นต้องมีผู้ที่อยู่อาศัยเป็นผู้ให้คุณค่าและความหมายนั้นกับมัน ไม่ว่าผู้สร้างมันจะเป็นใครและสร้างไว้อย่างไรก็ตาม หากสร้างไว้ใหญ่โตหรูหรา ทว่าไม่เคยได้ถูกใช้เป็นสถานที่พักกายของใครเลยก็คงไร้คุณค่า แต่หากว่าสร้างไว้แค่พอซุกหัวนอน แต่สามารถใช้เป็นที่พักผ่อนยามเหนื่อยล้าได้อยู่เสมอก็สมควรที่จะเรียกได้ว่า บ้าน  และคนที่เข้าใจถึงความหมายและคุณค่าของมันได้ดีที่สุดก็คือคนที่อาศัยอยู่ใต้ชายคาของมันทุกวันทุกคืนนั่นเอง เรื่องราวที่ฟังจากปากแม่ติ๋วคือคุณค่า คือความหมาย คือสิ่งที่ทำให้สิ่งปลูกสร้างที่ประกอบขึ้นจาก ปูน ทราย ไม้ หิน กระจก ฯลฯ หลังนี้มีชีวิต และสามารถเรียกมันได้อย่างเต็มปากว่า “บ้าน” ครับ 
 

 

  • เรื่อง : ทศพล สุวรรณสุต
  • ภาพ : ยุทธนา สิงห์สาย
  • เจ้าของ : คุณเพ็ญประภา บียอร์กวิค
  • แบบบ้าน : แบบพิเศษ (ME-125)
  • รางวัลที่บ้านนี้เคยได้รับ : -
  • ออกแบบ : บริษัท พีดี เฮ้าส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
  • ก่อสร้าง : ศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ ขอนแก่น